การสัมมนาในหัวข้อ “การปฏิรูปและนโยบายเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลเลือกตั้ง” ที่จัดโดยคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกับมูลนิธิประชาธิปไตย ซึ่งมีนักการเมืองจากหลากหลายพรรคเข้าร่วมสัมมนา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าขณะนี้ทุกประเทศล้วนเผชิญกับภาวะทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งแน่นอนว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการทุ่มเม็ดเงินหลายล้านล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็นการใช้เงินมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา แต่กลับไม่ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจดีขึ้น กลับกันยังทำให้เกิดการกระจุกตัวมากขึ้น มากไปกว่านั้นรัฐบาลยังมีกฎระเบียบที่ล้าสมัยและการออกมาตรการต่างๆก็สะท้อนให้เห็นว่าไม่เข้าใจบริบทของสังคม ส่วนการปฏิรูปก็พบว่าไม่ได้ส่งเสริมประชาชน แต่กลับไปส่งเสริมอำนาจรัฐแทน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขหลังการเลือกตั้ง
ส่วนนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจจะดีได้ ต้องมีรายได้ไหลเข้ามาในประเทศให้มากขึ้น จึงไม่ปฏิเสธว่าการส่งออก, การท่องเที่ยว, การอุปโภคบริโภค รวมไปถึงการใช้จ่ายของภาครัฐเป็นสิ่งสำคัญของประเทศ ส่วนที่รัฐบาลชุดนี้ขออนุมัติงบกลางประจำปีถึงสองปี ก็มองว่าเป็นการนำงบไปใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่สมควร ซึ่งถ้าเป็นรัฐบาลปกติคงถูกฝ่ายค้านตรวจสอบแล้ว นายกิตติรัตน์ ยังมองว่า ต้องมีการกระจายอำนาจมากขึ้น ภาครัฐต้องเลิกการรวมอำนาจ พร้อมตั้งคำถามถึงเรื่องการท่องเที่ยวที่บอกว่าเป็นสิ่งสำคัญว่าเหตุใดกลับถูกนำไปรวมอยู่ในกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่แทบไม่มีบทบาทใดๆในภาครัฐเลย
ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ระบุว่า ขณะนี้มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการกดทับคนไทย เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจบริหารประเทศ ดังนั้นการจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ต้องจัดการคนกลุ่มนี้ให้เด็ดขาดและตรงไปตรงมา นอกจากนี้ จะต้องปิดไม่ให้เกิดการแข่งขันในช่องทางที่กลุ่มอภิสิทธิ์ชนมีอยู่ ส่วนช่องทางที่ไม่มีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนอยู่ ควรเปิดการแข่งขันอย่างเสรี นายธนาธร บอกว่า ตัวเองมีนโยบายแก้ไขความเหลื่อมล้ำในประเทศ ซึ่งจะบอกให้ฟังในภายหลัง แต่มองว่าก่อนจะแก้ได้ประเทศควรเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ใหม่ก่อน
ผู้สื่อข่าว:ธีรวัฒน์ สิทธิเกรียงไกร