ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน กล่าวสุนทรพจน์ต่อผู้นำธุรกิจก่อนการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก หรือ เอเปก ที่ปาปัวนิวกินี คาดว่า สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะเป็นประเด็นสำคัญของการประชุมว่า ความพยายามตั้งกำแพงภาษีและตัดความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางเศรษฐกิจชี้ให้เห็นว่า ขัดหลักกฎหมายเศรษฐศาสตร์และกระแสประวัติศาสตร์ ซึ่งถือว่า เป็นการมองการณ์ในระยะสั้น และมีแนวโน้มลงท้ายด้วยความล้มเหลว ผู้นำจีนวิจารณ์นโยบาย “อเมริกา เฟิร์ทส์” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ว่า โลกควรสนับสนุนระบบการค้าแบบพหุภาคี ซึ่งมีองค์การการค้าโลก หรือ WTO เป็นศูนย์กลาง ไม่ควรสนับสนุนนโยบายกีดกันทางการค้าและการดำเนินนโยบายแต่เพียงฝ่ายเดียว ควรทำให้เศรษฐกิจโลกเป็นโลกาภิวัตน์ เปิดกว้างมากขึ้น ครอบคลุม สมดุล และเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เพราะในอดีต ประวัติศาสตร์ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า การเผชิญหน้ากันไม่ว่าจะโดยรูปแบบใด สงครามเย็น สงครามร้อน หรือสงครามการค้า ไม่มีผู้ใดเป็นฝ่ายชนะ และจีนเชื่อว่า ไม่มีประเด็นใดที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการเจรจาบนพื้นฐานความเท่าเทียมและความเข้าใจระหว่างกัน
ถ้อยแถลงของผู้นำจีน ยังได้รับการขานรับจากนายสก็อต มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ซึ่งกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมเดียวกัน โดยผู้นำออสเตรเลีย เสริมว่า สงครามการค้าไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใด ทั้งยังจะบั่นทอนทำลายกฎระเบียบการค้าโลกและภูมิภาค มองว่า การแก้ปัญหาการค้าที่ไม่เป็นธรรม แก้ปัญหาได้ด้วยการเจรจา และออสเตรเลีย จะยังสนับสนุนการแก้ปัญหาพิพาทตามกฎระเบียบของ WTO แม้จะยอมรับว่า WTO ไม่ใช่องค์กรสมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวสุนทรพจน์ในตอนท้ายปกป้องแนวคิดริเริ่ม One Belt One Road หรือเส้นทางสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลของจีน โดยยืนกรานว่า แนวคิดดังกล่าวมิใช่กับดักหรือออกแบบมาเพื่อวาระซ่อนเร้นทางการเมือง และยืนยันว่า ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อต่อต้านหรือกีดกันประเทศใดโดยเฉพาะ
ทีมต่างประเทศ
CR:AFP