สหประชาชาติรายงานว่า พบหลุมฝังศพรวมขนาดใหญ่มากถึง 202 แห่งในอิรัก คือที่จังหวัดนิเนเวห์ 95 แห่ง, เคอร์คุก 37 แห่ง, ซาลาห์อัลดิน 36 แห่งและที่อันบาร์ 24 แห่งซึ่งทั้งหมดอยู่ในพื้นที่ที่กลุ่มรัฐอิสลามหรือไอเอสเคยยึดครอง ตั้งแต่ปี 2557 โดยคาดว่าจะมีร่างผู้เสียชีวิตประมาณ 6,000-12,000 ราย รวมทั้งสตรี เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนต่างด้าวและสมาชิกกองกำลังรักษาความปลอดภัยอิรัก
ซึ่งอัยการสหประชาชาติ กล่าวว่า ข้อมูลนี้จะนำไปเป็นหลักฐานส่วนหนึ่งของการฟ้องร้องกลุ่มไอเอสฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นายแจน คูบิส ผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติ ในกรณีอิรักกล่าวว่า รายงานนี้คือหลักฐานของความสูญเสีย ความทุกข์ทรมานและความโหดร้ายที่น่าตกใจ
ทั้งนี้ ในปี 2557 กลุ่มไอเอสยึดครองบางพื้นที่ของอิรักไว้และปกครองด้วยกฎที่โหดร้าย กระทั่งถูกกองทัพนานาชาติที่นำโดยสหรัฐฯ และอิรัก ยึดคืนมา ซึ่งจนถึงปัจจุบันยังพบการเคลื่อนไหวของกลุ่มไอเอสในบางพื้นที่ โดยรัฐบาลอิรักยังมีงานท้าทายที่สำคัญคือการจัดให้ครอบครัวชาวอิรักทั้งที่อยู่ในประเทศและที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ มีการลงทะเบียนบุคคลที่หายไป เพื่อจัดทำสำมะโนประชากร
....
F163