นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2561 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกประกาศผลการพิจารณาโครงการทบทวนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) สหรัฐฯ ประจำปี 2560 (Annual GSP Product Review) โดยได้ตัดสิทธิ GSP สินค้าจาก 15 ประเทศ เนื่องจากมีการนำเข้าไปยังสหรัฐฯ เกินมูลค่า หรือ เกินส่วนแบ่งตลาด (180 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ/หรือ ร้อยละ 50) ตามเกณฑ์ว่าด้วยความจำเป็นด้านการแข่งขัน (Competitive Need Limit : CNLs) ที่สหรัฐฯ กำหนด มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2561 เป็นต้นไป
สำหรับสินค้าที่ไทยถูกตัดสิทธิ GSP ทั้ง 11 รายการ คือ 1.ดอกกล้วยไม้สด 2.ทุเรียนสด 3.มะละกอตากแห้ง 4.มะขามตากแห้ง 5.ข้าวโพดปรุงแต่ง 6.ผลไม้ ถั่วแช่อิ่ม 7.มะละกอแปรรูป 8.แผ่นไม้ปูพื้น 9.เครื่องพิมพ์ 10.เครื่องซักผ้า 11.ขาตั้งกล้องถ่ายรูป โดยมีมูลค่าการใช้สิทธิปี 2561 (ม.ค. – ส.ค.) ประมาณ 28.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นอัตราการใช้สิทธิร้อยละ 14.3 และเมื่อถูกตัดสิทธิ GSP จะเสียภาษีนำเข้าในอัตราปกติประมาณ ร้อยละ 1-8 ทั้งนี้ ในการขอคืนสิทธิ GSP (Redesignation) รัฐบาลไทยสามารถยื่นคำร้องขอคืนสิทธิระหว่างการพิจารณาทบทวนรายการสินค้าประจำปี ในกรณีการนำเข้าสินค้านั้นของปีต่อไปจะต้องมีมูลค่าต่ำกว่าเกณฑ์ CNLs ที่กำหนด (185 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี) และมีส่วนแบ่งตลาดนำเข้าไม่เกินร้อยละ 50 (สำหรับกรณีส่วนแบ่งตลาดเกิน ร้อยละ 50 จะต้องเป็นสินค้าที่ไม่มีการผลิตในสหรัฐฯ และไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในสหรัฐฯ
นอกจากประเทศไทย ยังมีประเทศผู้ส่งออกสำคัญที่ถูกตัดสิทธิ GSP ในครั้งนี้ด้วย ได้แก่ อินเดีย (50 รายการ) บราซิล (14 รายการ) เอกวาดอร์ (4 รายการ) อาร์เจนติน่า (3 รายการ) ฟิลิปปินส์ (3 รายการ) และอินโดนีเซีย (1 รายการ) ซึ่งสินค้าบางรายการที่สหรัฐฯ ตัดสิทธิ GSP จากประเทศเหล่านี้ เป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพและส่งออกไปยังสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง เช่น ปลาดาบแช่เย็นแช่แข็ง (เอกวาดอร์) พรมถักด้วยมือ (อินเดีย) ผักสดและผลไม้ปรุงแต่ง (อินเดีย) ฯลฯ ดังนั้น หากผู้ผลิตไทยสามารถผลิตป้อนตลาดสหรัฐฯ ทดแทนการนำเข้าจากประเทศที่ถูกตัดสิทธิ ก็จะเป็นช่องทางหนึ่งที่ไทยสามารถเปิดตลาดและขยายการส่งออกสินค้าประเภทใหม่ ๆ ไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้