+++การสูญเสียนายวิชัย ศรีวัฒนประภา นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา บุตรชายคนเล็ก และรองประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ได้โพสต์ข้อความย้ำว่าจะสานต่อเจตนารมณ์และวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ ในส่วนตัวพร้อมทั้งครอบครัวขอขอบคุณทุก ๆ ท่าน สำหรับความกรุณาจากใจจริงและเจตนาที่ดีในช่วงเวลาอันยากเข็ญที่สุดสำหรับเรานี้ นายอัยยวัฒน์ โพสต์ว่า พ่อคือครูและเป็นแบบอย่าง
+++ส่วนเรื่องการพิสูจน์อัตลักษณ์ของผู้เสียชีวิต มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่สามารถพิสูจน์อัตลักษณ์ของนายวิชัย และ น.ส.นุสรา สุขหน้าไม้ เสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการตรวจสอบอีก 3 คน ตำรวจอังกฤษ ประสานครอบครัววัฒนประภาและสถานทูตไทย เกี่ยวกับเรื่องการจัดทำเอกสาร
+++เมื่อคืนนี้เป็นวันฮาโลวีน เจ้าหน้าที่บุกจับผับในพื้นที่จ.สระบุรี พบเด็กและเยาวชน รวมทั้งยาเสพติดจำนวนมาก
นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้อำนวยการส่วนกำกับ สืบสวนและปราบปราม สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ร่วมกับกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนและฝ่ายปกครองจังหวัดสระบุรี ปิดล้อมตรวจค้นผับหลังเขา (Back Moutain )ตั้งอยู่ริมถนนสุวรรณศร สายหินกอง - นครนายก ต.ห้วยทราย อ.หนองแค จ.สระบุรี หลังสืบทราบว่าเป็นแหล่งมั่วสุมของวัยรุ่นและมีการเสพยาเสพติด จากการคัดแยกนักเที่ยวพบว่ามีนักเที่ยวที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปใช้บริการจำนวนมากถึง 128 คน แยกเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 43 คน เป็นเด็กอายุเกิน18 ปี แต่ยังไม่ถึง 20 ปี จำนวน 85 คน มีนักเที่ยวที่ปัสสาวะเป็นสีม่วง จำนวน 131 คน พบยาเสพติดและอุปกรณ์การเสพหลายชนิด ทั้งไอซ์ ยาอี ยาเคตามีน ฯลฯ เกลื่อนพื้นร้าน และในห้องน้ำภายในร้าน
+++จากการตรวจสอบพบว่า มีชื่อของนางขวัญจิต แซ่หงุ่ย มารดาของนายกฤษณะ วงศ์ด้วง อายุ 30 ปี แสดงตัวเป็นผู้จัดการดูแลร้าน เป็นผู้มีชื่อในใบอนุญาตจำหน่ายสุรา และในใบทะเบียนพาณิชย์ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา 6 ข้อหา1.ตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.จำหน่ายสุราเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด 3.ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี 4.จำหน่ายสุราให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี 5.ยุยงส่งเสริมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร 6.ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมาย(จัดโปรโมชั่น) ซึ่งหลังจากนี้ นายอำเภอหนองแค จะได้รายงานให้ผู้ว่าฯ สระบุรี สั่งปิดร้านหลังเขา มีกำหนด 5 ปี ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ต่อไป
+++ในวันที่ 5 พ.ย. จะเปิดใช้อุโมงค์ลอดทางแยกรัชโยธิน ให้รถใช้งานเป็นวันแรก ใช้เวลาก่อสร้างนานร่วม 2 ปี หลังจากรื้อสะพานออกเพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่ลำลูกกา โดยปรับรูปแบบสร้างเป็นอุโมงค์ลอดแยกในแนวถนนรัชดาภิเษก ทดแทน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) จึงประชุมวางแผนจัดการจราจร
+++พ.ต.อ.ภาณุเดช สุขวงศ์ รอง ผบก.น.2 รับผิดชอบดูแลงานจราจร คาดว่า จะมีปริมาณการจราจรเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะช่วงเช้า จะมีรถที่จะมุ่งหน้าไปสุทธิสาร ห้วยขวาง พระราม 9 ที่เคยเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นช่วงก่อสร้างจะกลับมาใช้เส้นทางเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับช่วงเย็น จะมีรถฝั่งขาออกมุ่งหน้าไปแยกประชานุกุล สะพานพระราม 7 มากยิ่งขึ้น จึงต้องเตรียมมาตรการรองรับรถทั้งด้านขาเข้าและขาออก เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบด้านการจราจรอย่างไรก็ตาม บช.น.จำเป็นจะต้องมีการสังเกตสภาพการจราจรและปริมาณรถก่อน เพื่อวางแผนปรับระบบการจราจรให้เหมาะสม
+++หลังจากที่นายวรพล แกมขุนทด นายกสมาคมวิชาชีพผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะแท็กซี่ เปิดเผยว่า บริษัท มาย แท็กซี่ จะร่วมมือกับนักลงทุนรายใหญ่ภายในประเทศเปิดให้บริการรถแท็กซี่รูปแบบใหม่ที่ไม่ต้องพิ่งการปรับค่าโดยสารจากกรมการขนส่งทางบก คือ ให้บริการในรูปแบบของเหมาจ่ายเป็นรายเดือน โดยผู้โดยสารที่จะใช้บริการสามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกในราคา 10,200 บาทต่อเดือน ใช้บริการได้ไม่จำกัดเที่ยววิ่งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล สามารถให้รถแท็กซี่ไปรับที่ไหนก็ได้ ผ่านทางแอพพลิเคชั่น โดยตั้งเป้าหมายจะเปิดให้บริการได้ในต้นปีหน้า
+++ล่าสุด นายกมล บูรณพงศ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ในฐานะโฆษกกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า การให้บริการแท็กซี่แบบเหมาจ่ายเป็นรายได้ ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากผิดระเบียบในการประกอบกิจการรถแท็กซี่มิเตอร์ที่จะต้องกดมิเตอร์ในการคิดค่าบริการเท่านั้น
+++มีรายงานระบุว่า มีผู้ใช้สื่อออนไลน์ จำนวนมาก แสดงความไม่เห็นด้วย เช่น เห็นว่า คนขับแท็กซี่อาจจะไม่มีแรงจูงใจในการให้บริการ และปฏิเสธผู้โดยสารหนักกว่าที่เป็นอยู่ เนื่องจากได้เงินจากค่าบอกรับสมาชิกเหมาจ่ายรายเดือนอยู่แล้ว
+++เรื่องเศรษฐกิจ น.ส.พรเพ็ญ สดศรีชัย ผู้อำนวยการ ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การขยายตัวเศรษฐกิจเดือน ก.ย.ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจาก การส่งออกลดลงกว่าที่คาดไว้ โดยขยายตัวติดลบถึงร้อยละ 5.5 คาดว่า การส่งออกปีนี้จะขยายตัวไม่ถึงร้อยละ 9 ตามที่ ธปท.คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากปัญหาสงครามการค้าที่ยังไม่ชัดเจน และเริ่มส่งผลกระทบ ทำให้สินค้าที่ส่งออกไปจีนลดลง โดยเฉพาะยางพารา และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และพบว่าจากความไม่แน่นอนดังกล่าว ทำให้ ผู้ประกอบการ ระมัดระวังมากขึ้นในการผลิตสินค้าและลงทุนขยายกำลังการผลิตต่างๆ ซึ่งอาจทำให้ปริมาณการส่งออก ไตรมาส 4 มีแนวโน้ม แผ่วลงกว่าที่ธปท.ประเมินไว้
+++นอกจากนี้ รายจ่ายลงทุนภาครัฐ ก็หดตัว เนื่องจาก มีการเร่งเบิกจ่ายงบกลุ่มจังหวัดในปีที่ผ่านมา รายได้เกษตรกรก็หดตัวจากราคาเกษตรตกต่ำ แต่เศรษฐกิจเดือน ก.ย. ยังได้แรงพยุงจากการบริโภคเอกชนที่ยังขยายตัวได้ดี ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชน ยังทรงตัว รวมถึงการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่หดตัวเช่นกัน ตามการส่งออกที่ขยายตัวติดลบ
+++ความเคลื่อนไหวสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 87 เซ็นต์ ปิดที่ 65.31 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 44 เซนต์ ปิดที่ 75.47 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล
+++ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งแรง 2 วันติด ได้แรงหนุนจากข้อมูลการจ้างงานของรัฐบาลและรายงานผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ที่ออกมาแข็งแกร่งเป็นส่วนใหญ่ ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 241.12 จุด ปิดที่ 25,115.76 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 29.11 จุด ปิดที่ 2,711.74 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 144.25 จุด ปิดที่ 7,305.90 จุด การจ้างงานภาคเอกชนในเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้นในวงกว้างทั่วทุกภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในธุรกิจขนส่งและสาธารณูปโภค
+++นอกจากนี้แล้ว ตลาดทุน ยังได้แรงหนุนจากภาคเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟซบุ๊ก ที่ปิดบวกร้อยละ 4 หลังรายงานผลกำไรรายไตรมาสเพิ่มขึ้นเป็น 5,100 ล้านดอลาร์สหรัฐฯ หลังมีรายได้สูงขึ้นอย่างมาก
+++ราคาทองคำ ปิดลบแรง หลังดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น ทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 10.30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ปิดที่ 1,215.00 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์
แฟ้มภาพ