ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาอุทธรณ์คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ยื่นฟ้องนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ฐานจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ 5 ครั้ง 2 รายการ ได้แก่เงินสด 17 ล้านบาท และรถโฟล์กสวาเกน ราคา 3 ล้านบาท เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม แม้จะอ้างว่า เงินส่วนหนึ่งเป็นสินสมรส รวมทั้งรถโฟล์กสวาเกน เป็นของภรรยา
เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560 ศาลได้พิพากษาจำคุกนายสุพจน์ 5 กระทง กระทงละ 2 เดือน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ปี 2542 มาตรา 119 รวมจำคุก 10 เดือน ไม่รอลงอาญา และมีคำสั่งห้ามนายสุพจน์ ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเวลา 5 ปี นับจากวันที่พ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมวันที่ 18 พฤษภาคม 2555 ซึ่งการพิพากษาในครั้งนั้น ศาลได้แจ้งว่า จำเลยสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 195 วรรค 4 ต่อมา นายสุพจน์ ยื่นคำร้องและหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 2 ล้านบาท
ทั้งนี้ องค์คณะผู้พิพากษา นั่งบัลลังก์พิจารณาแล้วมีมติเสียงข้างมาก เห็นว่า ผู้คัดค้านไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินทั้ง 2 รายการ ทั้งที่เป็นผู้บริหารระดับสูงควรต้องเป็นตัวอย่างที่ดี แต่กระทำผิดเอง จึงนับว่าพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง แม้ผู้คัดค้านไม่เคยกระทำผิดมาก่อน และเคยประกอบคุณงามความดีปฏิบัติหน้าที่ราชการจนได้รับตำแหน่งระดับสูง ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอให้รอการลงโทษ การอุทธรณ์ของผู้คัดค้าน ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนให้จำคุก 10 เดือน และห้ามดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 5 ปี โดยให้ออกหมายขังผู้คัดค้านตามคำพิพากษาถึงที่สุดและให้คืนหลักประกัน 2 ล้านบาทกับผู้คัดค้าน
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น ครอบครัวและญาติที่เดินทางมาให้กำลังใจได้ร่ำไห้เข้าไปกอดนายสุพจน์พร้อมพูดคุย ขณะที่นายสุพจน์ ก็มีสีหน้าเศร้าน้ำตานอง พูดปลอบใจครอบครัวด้วยว่าแป๊บเดียว ก่อนถอดสิ่งของมีค่าฝากให้ครอบครัว เพราะหลังจากนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะนำตัวไปคุมขังรับโทษยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพตามคำพิพากษาศาลฎีกา
คดีนี้เนื่องจากเหตุการณ์ที่คนร้ายบุกปล้นบ้านนายสุพจน์ ที่ซอยลาดพร้าว 64 เมื่อค่ำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 คนร้าย ได้ให้การเกี่ยวกับทรัพย์สินว่า ได้พบเงินสดในบ้านของนายสุพจน์ นับร้อยล้านบาท ขณะที่นายสุพจน์ไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินบางส่วนได้ ดังนั้น ป.ป.ช.จึงชี้มูลความผิดนายสุพจน์ว่า มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติและให้อัยการสูงสุด ยื่นฟ้องคดีแพ่ง เพื่อให้ริบทรัพย์ ตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายต่อไป
แฟ้มภาพ