ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 12.35น. วันที่ 18 ตุลาคม 2561

18 ตุลาคม 2561, 12:52น.


+++นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า อาจต้องเดินทางไปพบกับทางการจีน ภายหลังตลาดนักท่องเที่ยวจีน ที่มาไทยเดือน ก.ย.ติดลบ ร้อยละ 14.80 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพื่อหาทางดึงให้กลับมาเที่ยวในช่วงปลายปีเพิ่มขึ้น นักท่องเที่ยวจีน เป็นตลาดท่องเที่ยวสำคัญ จึงได้สั่งการให้นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไปออกมาตรการมากระตุ้นการท่องเที่ยว เดือน พ.ย.-ธ.ค.นี้ โดยให้ไปหารือกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ออกโปรโมชันพิเศษ



+++นอกจากนี้ ยังให้กระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาให้สิทธิประโยชน์จากออกวีซ่าที่ขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival) ส่วนเรื่องสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัย พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รักษาราชการแทนผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง รายงานว่าจะออกมาตรการได้ในเร็วๆนี้ และยังให้การบินไทยไปหารือกับ ไชน่าเซาท์เทิร์นแอร์ไลน์ของจีน เพื่อทำการเชื่อมโยงผู้โดยสารระหว่างกัน เพื่อดึงคนจีนมาเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก  นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม สั่งการให้ กรมท่าอากาศยาน (ทย.) ศึกษาการนำเทคโนโลยีสแกนใบหน้ามาทดลองใช้กับสนามบินของ ทย. ตั้งแต่ขั้นตอนการเช็กอิน จนถึงการขึ้นเครื่องบิน เหมือนกับสนามบินในต่างประเทศ หากทำได้จริงก็จะทำให้ผู้โดยสารเช็กอิน โดยไม่ต้องหยิบบัตรประชาชนขึ้นมาแสดง



+++นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ก่อนจะเกิดเหตุเรือล่ม จีนเข้ามาเที่ยวไทยสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้น แม้แต่ช่วงที่ต่ำสุดของปีนี้ ก็ยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวปริมาณมากกว่ายอดสูงสุดของอีกหลายๆปีทีเดียว การสนทนากันเพียงว่า สถิติตกลงเท่าไหร่ จึงไม่ได้หมายความว่า ปริมาณคนเข้ามาน้อยจนน่าแตกตื่น แต่ต้องมาดูที่สาเหตุที่จะวิเคราะห์แจกแจงออกมาได้อย่างสุขุม ไม่ใช่เรื่องการลด แลกแจกฟรี โดยยังไม่เจาะเข้าไปที่ประสบการณ์ที่แท้จริงของนักท่องเที่ยวเหล่านี้ ว่ามีวัฏจักรต้องพบกับอะไรกันบ้าง แล้วแก้ไขที่ตรงนั้น บ่ายนี้ นัดประชุมทุกฝ่ายทั้งราชการและเอกชน เพื่อมาวิเคราะห์สาเหตุและความร่วมมือในการจะดูแลเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด



+++พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว. มหาดไทย กล่าวถึง กรณีพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุว่า หากการเมืองไม่ออกมาจลาจลก็ไม่เกิดการรัฐประหาร ว่า ผบ.ทบ.ก็พูดชัด หากประเทศไม่มีความขัดแย้งอีกแล้ว ไม่มีการใช้กำลังกัน พรรคการเมืองใช้อำนาจในทางที่ถูกโดยไม่ขัดแย้งกันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ในส่วนตัวไม่ขอขยายความ เพราะจะถูกนำไปขยายความ



+++นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  ในฐานะผู้ชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีพรรคเพื่อไทย ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ดูการเคลื่อนไหวหาเสียงเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการหาสมาชิกพรรคด้วย เป็นการเอาเปรียบพรรคอื่นที่ไม่สามารถทำได้ ว่าเป็นกระบวนการภายในพรรค การจะบอกกับสมาชิกว่าใครสมควรจะเป็นหัวหน้าพรรค ไปขอคะแนนเสียงก็ต้องบอกเขาว่าจะนำพาพรรคไปทางไหน ซึ่งพรรคการเมืองอื่น ก็ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ ถ้าอยากจะเลือกหัวหน้าพรรคแบบพรรคประชาธิปัตย์ก็ยินดี จะได้เป็นประชาธิปไตย แต่ก็ไม่กันทำเอง เพราะพรรคเขาไม่ได้ใช้วิธีนี้ เขาก็ไม่คุ้นเคย แต่ประชาธิปัตย์ตอนนี้เราก้าวไปถึงจุดนี้แล้ว ไม่ได้มีวาระอื่นแอบแฝง และได้แจ้ง กกต. ไปว่า สิ่งที่จะต้องทำตามกฎหมายพรรคการเมือง หรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)  มีอะไรบ้าง ซึ่ง 1ในนั้นคือกระบวนการเลือกหัวหน้าพรรค ตามข้อบังคับพรรค



+++หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  กล่าวถึง การที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นปกติใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย สื่อสารกับประชาชนในช่วงนี้ว่า เราต้องยอมรับว่า เมื่อประชาชนคนทั่วไปเขามีการเปลี่ยนแปลงช่องทางในการรับข้อมูลข่าวสาร จากเดิมอาจจะเป็นสถานีโทรทัศน์ต่างๆ เป็นหลัก แต่ตอนหลังนี้ก็มาทางสื่อสังคมออนไลน์ เพราะฉะนั้นคนที่เป็นบุคคลสาธารณะ และมีหน้าที่จะต้องสื่อสารกับประชาชนอยู่ตลอดเวลาก็ต้องปรับตัว หันมาใช้ช่องทางเหล่านี้ เพื่อที่จะเข้าถึงประชาชน  ตรงนี้ไม่ได้เป็นปัญหา แต่บังเอิญ คสช.  กลับไปเขียนว่าการใช้โซเชียลมีเดียทำได้ แต่ห้ามหาเสียง เลยทำให้จะเกิดปัญหาขึ้นว่าจะตีความอย่างไร ใครจะอยู่ในข่ายการบังคับตรงนี้บ้าง



+++เมื่อถามว่ามีการวิจารณ์ว่าทำไมนายกฯ ถึงต้องมาทำในช่วงใกล้เลือกตั้ง  นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มองง่ายๆ ว่าเป็นเรื่องจังหวะทางการเมือง  ซึ่งปฏิเสธได้ยาก เพราะถ้าบอกว่าอยากจะใช้ช่องทางนี้ทำงาน แต่ช่องทางนี้ก็มีให้ใช้มาตั้งหลายปีแล้ว การที่บอกว่า จะมารับฟังปัญหาเพื่อนำไปแก้ไข ซึ่งความจริงทำได้ตั้งแต่ต้นแล้ว



+++ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาอุทธรณ์ คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ยื่นฟ้องนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ฐานจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ 5 ครั้ง 2 รายการ ได้แก่เงินสด 17 ล้านบาท และรถโฟล์กสวาเกน ราคา 3 ล้านบาท เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม แม้จะอ้างว่า เงินส่วนหนึ่งเป็นสินสมรส รวมทั้งรถโฟล์กสวาเกนเป็นของภรรยา



+++เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560 ศาลได้พิพากษาจำคุกนายสุพจน์ 5 กระทง กระทงละ 2 เดือน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ปี 2542 มาตรา 119 รวมจำคุก 10 เดือน ไม่รอลงอาญา และมีคำสั่งห้ามนายสุพจน์ ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเวลา 5 ปี นับจากวันที่พ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมวันที่ 18 พฤษภาคม 2555 ซึ่งการพิพากษาในครั้งนั้น ศาลได้แจ้งว่า จำเลยสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 195 วรรค 4 ต่อมา นายสุพจน์ ยื่นคำร้องและหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 2 ล้านบาท



+++ทั้งนี้  องค์คณะผู้พิพากษา นั่งบัลลังก์พิจารณาแล้วมีมติเสียงข้างมาก เห็นว่า ผู้คัดค้านไม่ได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินทั้ง 2 รายการ ทั้งที่เป็นผู้บริหารระดับสูงควรต้องเป็นตัวอย่างที่ดี แต่กระทำผิดเอง จึงนับว่าพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง แม้ผู้คัดค้านไม่เคยกระทำผิดมาก่อน และเคยประกอบคุณงามความดีปฏิบัติหน้าที่ราชการจนได้รับตำแหน่งระดับสูง ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอให้รอการลงโทษ การอุทธรณ์ของผู้คัดค้าน ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนให้จำคุก 10 เดือน และห้ามดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 5 ปี โดยให้ออกหมายขังผู้คัดค้านตามคำพิพากษาถึงที่สุดและให้คืนหลักประกัน 2 ล้านบาทกับผู้คัดค้าน



+++ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น ครอบครัวและญาติที่เดินทางมาให้กำลังใจได้ร่ำไห้เข้าไปกอดนายสุพจน์พร้อมพูดคุย ขณะที่นายสุพจน์ ก็มีสีหน้าเศร้าน้ำตานอง พูดปลอบใจครอบครัวด้วยว่าแป๊บเดียว ก่อนถอดสิ่งของมีค่าฝากให้ครอบครัว เพราะหลังจากนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะนำตัวไปคุมขังรับโทษยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพตามคำพิพากษาศาลฎีกา



+++คดีนี้เนื่องจากเหตุการณ์ที่คนร้ายบุกปล้นบ้านนายสุพจน์ ที่ซอยลาดพร้าว 64 เมื่อค่ำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 คนร้าย ได้ให้การเกี่ยวกับทรัพย์สินว่า ได้พบเงินสดในบ้านของนายสุพจน์ นับร้อยล้านบาท ขณะที่นายสุพจน์ไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินบางส่วนได้ ดังนั้น ป.ป.ช.จึงชี้มูลความผิดนายสุพจน์ว่า มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติและให้อัยการสูงสุด ยื่นฟ้องคดีแพ่ง เพื่อให้ริบทรัพย์ ตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายต่อไป 



+++ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวถึงรายงานของหนังสือพิมพ์ เยนี ซาฟัค หนึ่งในกระบอกเสียงของรัฐบาลอังการา ตุรกี เป็นสื่อแรก ซึ่งเผยแพร่เนื้อหาบางช่วงบางตอนของ คลิปเสียงลับ บอกเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายจามาล คาช็อกกี  ที่ถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมก่อนเสียชีวิต  ภายในสถานกงสุลซาอุดิอาระเบีย ประจำเมืองอิสตันบูล เมื่อวันที่ 2 ต.ค.ว่าสหรัฐฯได้ประสานงานไปยังสำนักพิมพ์แห่งนั้นเพื่อขอหลักฐานแล้ว ถ้ามีอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นคลิปเสียง ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว แต่ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวเสริมเองทันทีว่า โดยส่วนตัวเขามองว่าข้อมูลที่เยนี ซาฟัค เผยแพร่ อาจเป็นของจริงหรือไม่ก็ได้



+++นายทรัมป์ ยืนยันว่า การดำเนินการของรัฐบาล ไม่ใช่การช่วยเหลือซาอุดิอาระเบีย ในการปกปิดหลักฐาน แต่ไม่ต้องการทอดทิ้งรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย และแสดงความหวังว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูง ของซาอุดิอาระเบีย จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในทางใดก็ตามกับการหายสาบสูญของนายคาช็อกกี ซึ่งมีสถานะผู้อยู่อาศัยถาวรในสหรัฐฯด้วย



+++จากเหตุการณ์ นายวลาดิสลาฟ โรซิลยาคอฟ นักศึกษาปี 4 วัย 18 ปี ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเมืองเคิร์ช แคว้นไครเมียแถบทะเลดำ กราดยิงเพื่อน ภายในวิทยาลัยอาชีวศึกษาในไครเมีย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 19 คน บาดเจ็บอย่างน้อย 40 คน ส่วนมือปืนยิง ฆ่าตัวตายที่ห้องสมุดวิทยาลัย เบื้องต้น เจ้าหน้าที่รัสเซีย ระบุว่า เป็นเหตุฆาตกรรมหมู่ แต่ยังไม่รู้มูลเหตุจูงใจ



+++เพื่อนคนหนึ่งของนายโรซิลยาคอฟ เปิดเผยกับสื่อรัสเซียว่ามือปืนโกรธเกลียดวิทยาลัยมาก เคยประกาศว่าจะล้างแค้นอาจารย์หลายคน แต่ข่าวไม่ระบุรายละเอียดอื่นๆ ขณะที่กลุ่มเพื่อนร่วมชั้นบอกว่า มือปืนเป็นคนเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร และเลิกใช้สื่อสังคมออนไลน์นานแล้ว ข่าวระบุด้วยว่า นักศึกษาปี 4 รายนี้ จุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องที่โรงอาหาร ก่อนเริ่มใช้ปืนกราดยิงสังหารเพื่อนๆ เจ้าหน้าที่ยังพบระเบิดลูกที่ 2 ในสัมภาระของมือปืนและเก็บกู้ถอดชนวนได้อย่างปลอดภัย



+++ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ระบุว่า เหตุโจมตีเป็นเหตุการณ์น่าเศร้าสลด พร้อมขอแสดงความเสียใจกับญาติๆ ผู้สูญเสีย ส่วนทางการท้องถิ่นเมืองไครเมีย ประกาศไว้อาลัยนาน 3 วัน เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป



แฟ้มภาพ 



 



 

ข่าวทั้งหมด

X