หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้กล่าวถึงการเปิดเพจเฟซบุ๊ก อินตราแกรม และทวีตเตอร์ ว่า เป็นการปรับตัวหลังทำงานมา 4 ปี โดยไม่มีวัตถุประสงค์ใดๆเป็นเพียงการปรับตัวให้เข้ากับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เพราะตัวเองแม้เป็นคน ยุคเบบี้ บูมเมอร์ แต่ก็ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยได้พร้อมเปิดให้ทุกคนได้แสดงความเห็น แต่ขอให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์ ไม่ใช้คำหยาบคาย เพราะมีเยาวชนติดตามเรียนรู้อยู่
นายกรัฐมนตรี ยอมรับทั้งคนชื่นชมและต่อว่า เพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึง หากปัญหาใดที่สะท้อนมา และสามารถนำไปแก้ไขได้ ก็จะเร่งนำไปแก้ไข และจะใจกว้างมากขึ้น เพื่อยอมรับข้อติชม พร้อมกล่าวว่า คนไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่ว่าจะพูดทำอะไรดีๆ ก็ไม่ชอบอยู่ดี ส่วนการเข้าไปตอบความคิดเห็นของประชาชนนั้น จะตอบด้วยตัวเองทุก 3-5 วัน และมีทีมงานรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับผิดชอบส่งมาให้อ่าน และจะพยายามควบคุมอารมณ์ หากเข้าไปพบการแสดงความคิดเห็นที่ไม่สุภาพ ซึ่งทีมงานจะคอยลบความคิดเห็นเหล่านั้น
ส่วนที่นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ โอ๊ค ลูกชายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เข้าไปแสดงความคิดเห็นในอินสตราแกรมของตัวเอง มองว่า เป็นเรื่องปกติและยินดีที่เข้ามาติดตาม แต่เรื่องคดีความของนายพานทองแท้ ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมาย ไม่มีใครกลั่นแกล้ง จึงขอให้แยกแยะ
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการปรับตัวในการใช้โซเชียลมีเดียว่า ไม่ใช่เป็นการเตรียมเล่นการเมืองในอนาคต และคิดว่าสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่จำเป็นต้องปรับตัว เพราะสิ่งที่ทำมาตลอดก็ทำเพื่อประเทศ ซึ่งการจัดทำช่องทางสื่อสารเหล่านี้ ไม่ได้ใช้งบประมาณมากมาย ส่วนที่มีการมองเป็นการเอาเปรียบหาเสียงก่อนเลือกตั้งหรือไม่นั้น ทุกพรรคการเมืองก็มีเพจของตัวเองหมด จะมองเป็นการเอาเปรียบไม่ได้ ต้องให้ความเป็นธรรมตัวเองด้วย
ส่วนที่ไม่ใส่ยศทางทหารนำหน้าชื่อในการใช้โซเชียลมีเดีย เพราะ ต้องการให้ประชาชนเข้าถึง และให้มีความกระชับ สั้นที่สุด อย่างไรก็ตามยังคงมีความภาคภูมิใจที่มียศทางทหาร แม้จะเกษียณอายุราชการแต่ยศก็ยังอยู่ นอกจากนี้ยังกล่าวถึงกรณีผู้มาแสดงความคิดเห็นในช่องทางการสื่อสารที่เปิดไว้ หากมีการวิจารณ์จะผิดกฎหมายหรือไม่ โดยกล่าวว่า ถ้าแสดงความคิดเห็นหยาบคายก็เอาผิดได้หมด แต่ทุกอย่างอยู่ที่จิตสำนึก ขอให้นึกถึงหากมีลูกหลานมาพบเห็นคำหยาบคาย ซึ่งตัวเองรับได้กับคำต่อว่าเพราะไม่ได้เป็นตามที่ถูกต่อว่า พร้อมทิ้งท้ายด้วยว่า หากมีคนบิดเบือนข้อเท็จจริงและละเมิดความเป็นส่วนตัวชัดเจน ก็อาจจะพิจารณาฟ้องร้องก็ได้
สำหรับการพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. ..... (พ.ร.บ.ไซเบอร์ฯ) นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ได้เตรียมไว้เพื่อรัฐบาลนี้แต่เป็นกฎหมายที่ทั่วโลกบังคับใช้ ซึ่งเมื่อเดินทางไปประเทศใดก็มีการพูดคุยในเรื่องนี้และในประเทศไทย มีการกระทำผิดมาจำนวนมาก แต่ไม่สามารถเอาผิดได้ ยืนยันบทลงโทษไม่ได้แตกต่างจาก พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพราะทุกอย่างอยู่ที่เจตนาของผู้กระทำผิด