หลังจับกุมตัว และสอบปากคำนายตาต้า อายุ 41 ปี สัญชาติเมียนมา ผู้ต้องหาล่าสัตว์ป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าวังใหญ่และป่าแม่น้ำน้อย อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการสอบสวน นายตาต้า, นายอนุสรณ์ และ นายสกานต์ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ และได้นำไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเรียบร้อยแล้ว และได้รับรายงานจาก สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.) ว่า ผลการตรวจอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่ยึดได้จากตัวผู้ต้องหา และที่เก็บได้ในที่เกิดเหตุ มีผลตรงกัน จำนวน 5 กระบอก คือ ปืนพกออโตเมติก ขนาด .45, ขนาด 9 มม., ขนาด .38 และ ลูกกรดยาว .22 ขณะนี้พนักงานสอบสวน ได้นำตัว นายตาต้า ไปฝากขังครั้งที่ 1 ต่อศาลจังหวัดกาญจนบุรีแล้ว
ส่วนนายจิระ สัญชาติพม่า ผู้ต้องหาร่วมกันชำแหละซากหมีขอ ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปที่เมียนมา ผ่านทางช่องทางธรรมชาติ พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้เร่งติดตามจับกุมตัวแล้ว ยืนยันมั่นใจในพยานหลักฐาน สามารถเอาผิดผู้ต้องหาได้ทั้งหมด เนื่องจากมีวัตถุพยานหลักฐานชัดเจน เชื่อว่าจะสามารถสรุปสำนวนให้พนักงานอัยการสั่งฟ้องได้ภายในผัดฟ้องที่ 4 ( 25 พฤศจิกายน) นี้ ในชั้นสอบสวนนี้ยังไม่พบผู้กระทำความผิดเพิ่ม แต่หากการสืบสวนพบว่ามีบุคคลใดมีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติมก็จะดำเนินคดีทั้งหมด
นอกจากนี้ ยังสั่งให้สอบสวนเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เกี่ยวกับการประเมินค่าเสียหายของสัตว์ป่าที่ถูกผู้ต้องหายิงตายและความเสียหายต่อระบบนิเวศน์ของอุทยาน และให้แจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเพิ่มเติม คือ ข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะฯ, มีอาวุธและเครื่องกระสุนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายปืน (อาวุธปืนยาวขนาด .22 ติดลำกล้องและเครื่องเก็บเสียง), มียุทธภัณฑ์ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากปลัดกระทรวงกลาโหม (อุปกรณ์เก็บเสียง), มีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย (กระสุนปืน M16 จำนวน 20 นัด), ยิงปืนในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชนโดยไม่มีเหตุสมควร (โทษจำคุก 10 วัน/ ปรับ 5,000 บาท) และให้รอผลการตรวจพิสูจน์ของกลาง ชิ้นเนื้อและชิ้นส่วนของหมีขอ, ผลการตรวจรถยนต์ที่ยึดได้ (เรื่องการตอกเลข การตัดต่อแชชซี นำไปสู่ข้อหา “ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม, ลักลอบนำของหนีภาษีที่ไม่ผ่านการตรวจของศุลกากร, ลักทรัพย์หรือรับของโจร”)