ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ วันที่ 9 ตุลาคม 2561 ช่วงเที่ยง

09 ตุลาคม 2561, 12:29น.


ในวันนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 10 ร่วมกับผู้นำญี่ปุ่นและผู้นำประเทศลุ่มน้ำโขง ที่กรุงโตเกียว และเสนอแนวทางการขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือ โดยกล่าวในตอนหนึ่งว่า ไทยมุ่งมั่นร่วมมือกับญี่ปุ่นในฐานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา เพื่อเชื่อมโยงในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งจะนำไปสู่เสถียรภาพ สันติภาพ การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งสร้างความกินดีอยู่ดีให้ประชาชน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง



ส่วนยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. 2018 เพื่อความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น (Tokyo Strategy 2018 for Mekong – Japan Cooperation) เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมที่จะมีการรับรองในการประชุมครั้งนี้ มีความทันสมัย สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคและสถานการณ์โลก กำหนดทิศทางความร่วมมือตาม 3 แนวทาง ได้แก่ ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง (Free and Open Indo-Pacific Strategy) เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) และ การดำเนินการตามแผนแม่บท ACMECS ระยะ 5 ปี (ค.ศ. 2019 - 2023)



ไทยพร้อมสนับสนุนเสาความร่วมมือใหม่ 3 เสาหลัก ได้แก่ การพัฒนาความเชื่อมโยงที่ดีและมีประสิทธิภาพ การสร้างประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และ การสร้างความตระหนักรู้ต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงสีเขียว เพื่อเป็นการเน้นย้ำความสำคัญของการพัฒนาความร่วมมือด้านการส่งเสริมความเชื่อมโยง โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ ความเชื่อมโยงระดับประชาชน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาอย่างยั่งยืน และการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม



ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีคำสั่งตรวจสอบกรณีที่อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินทางไปพบกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง ว่า โดยมีข้อกฎหมายกำหนดไว้ว่า ไม่ให้คนที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคครอบงำหรือชี้นำกิจกรรมของพรรค ดังนั้นหากตรวจสอบแล้วพบว่าพรรคยินยอมให้มีการครอบงำต้องถูกยุบพรรคทันที ซึ่งนอกจากนี้จะมีการตรวจสอบกรณีการเก็บบัตรประชาชนที่จังหวัดนครราชสีมาด้วย



ส่วนความคืบหน้าการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส. นั้น ในวันที่ 13 ตุลาคม จะยุติการรับฟังความเห็น จากนั้น กกต.จังหวัดจะรวบรวมส่งมาให้ยัง กกต.กลางเพื่อพิจารณาหาข้อสรุปที่ชัดเจนอีกครั้ง ซึ่งไม่เกินช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนขณะที่การเปิดลงทะเบียน ส.ว.สรรหา ที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ มี 2 ลักษณะ คือ องค์กรที่กฎหมายจัดตั้ง เช่น สภาทนายความ และองค์กรที่เป็นนิติบุคคล ที่ไม่มีวัตถุประสงค์แสวงหากำไร หรือดำเนินกิจกรรมทางการเมือง สามารถไปยื่นได้ที่ กกต.จังหวัด



นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 1 เปิดเผยว่า ในระหว่างที่ประเทศกำลังจะไปสู่การเลือกตั้งในอีกประมาณ 4 เดือนข้างหน้า สนช.จะยังคงประชุมเพื่อพิจารณากฎหมายตามปกติ โดยเฉพาะร่างพ.ร.บ.ที่ค้างการพิจารณาอยู่ในสภา แต่จากการประสานงานกับรัฐบาลก็มีความคิดเห็นว่าสำหรับร่างพ.ร.บ.ฉบับใหม่ที่จะเสนอมาสนช. จะต้องส่งมาให้สนช.ก่อนสิ้นปี 2561 เพื่อให้สนช.มีเวลาในการพิจารณาก่อนที่จะถึงการเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2562



ส่วนกรณีที่หากมีสมาชิกสนช.จะไปร่วมงานทางการเมืองกับพรรคการเมืองหรือจะไปสมัครเป็นสว.ผ่านขั้นตอนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสุรชัย กล่าวว่า ในกรณีของการไปร่วมงานการเมืองคิดว่าต้องดูว่าไปร่วมงานในลักษณะใด ถ้าถึงขั้นมีการสมาชิกพรรค จะมีผลต่อสมาชิกสภาพการเป็นการสมาชิกสนช.ทันที เนื่องจากปัจจุบันรัฐธรรมนูญ บัญญัติให้สนช.ทำหน้าที่สส.และสว.ด้วยจนกว่าจะมีรัฐสภาชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ภายหลังการเลือกตั้ง ซึ่งสว.มีลักษณะต้องห้ามบางประการว่าห้ามสว.เป็นสมาชิกพรรค ถ้ามีสมาชิกสนช.ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองก็อาจเข้ากรณีลักษณะต้องห้ามได้



ต่างประเทศ



นายมอริซ อ็อบส์เฟลด์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนและเรียกร้องให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ เพิ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นว่าทุกฝ่ายจะได้รับผลประโยชน์จากความร่วมมือ ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนากำลังขยายตัว ส่งผลให้ประเทศที่มีเศรษฐกิจดีได้รับผลประโยชน์จากความร่วมมือระดับพหุภาคีน้อยลง ดังนั้นความร่วมมือจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก



คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือไอพีซีซี ซึ่งเป็นหน่วยงานของสหประชาชาติรายงานสรุป การประชุมที่มีขึ้นในกรุงโซลของเกาหลีใต้เมื่อสัปดาห์ก่อน ว่า ธรรมชาติและมนุษยชาติยังคงมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหากโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งการจะควบคุมไม่ให้โลกร้อนเกิน 1.5 องศาเซลเซียสจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กว้างขวางและรวดเร็ว พร้อมเตือนว่า หากภาวะโลกร้อนยังดำเนินไปในอัตราปัจจุบัน โลกจะร้อนขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2030-2052 ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามที่ตกลงกันไว้ในข้อตกลงปารีสก็อาจไม่เพียงพอ สำหรับรายงานฉบับนี้ จะเป็นแนวทางให้แก่ผู้กำหนดนโยบายของแต่ละประเทศในการปฏิบัติตามข้อตกลงปารีสปี 2015 ที่มุ่งจำกัดอุณหภูมิโลกไม่สูงเกิน 2 องศาเซลเซียสจากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม และควบคุมไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส.



 ...



ทำเนียบรัฐบาล

ข่าวทั้งหมด

X