หลังจากที่นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้สมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศว่า "อายุ 54 ปีแล้ว หมดเวลาเกรงใจใคร"
นาย อภิสิทธิ์ เปิดเผยว่า ตนเองมีเวลาอีกไม่มากในการสานสิ่งที่ฝันและอุดมการณ์ในการเปลี่ยนแปลงพัฒนาประเทศ จึงไม่ต้องลังเลใจหรือเกรงใจใครทั้งนั้น มองว่าครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่สำคัญ ที่ผ่านมาช่วงเป็นนายกฯก็พาประเทศผ่านวิกฤตมาได้ ครั้งนี้จึงมาอาสาตัวเพื่อสานฝันตัวเองให้เป็นจริง ตั้งเป้าว่าประเทศต้องต้องหลุดพ้นจากวังวนของเผด็จการและการทุจริตให้ได้ ยอมรับว่ามีคนทั้งชอบและไม่ชอบ แต่เชื่อว่าประวัติที่ผ่านมาของตัวเองเป็นเครื่องยืนยันชัดว่าได้ทำแต่ประโยชน์ให้ประเทศและไม่เคยหยุดเรียนรู้ จึงเชื่อว่าถ้ามีโอกาสได้เป็นหัวหน้าพรรคอีกก็จะสามารถพาประเทศก้าวหน้าได้
ส่วนแฮชแท็ก #Makemymark ที่กำลังดังในสังคมออนไลน์ขณะนี้ มาจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความหมายสองทาง คือ สื่อถึงการมีส่วนร่วมแสดงออกและต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศในทุกด้าน อีกความหมายคือ เป็นการเล่นคำที่สนันสนุนตัวเองและเป็นการสร้างพรรคประชาธิปัตย์ยุคใหม่
นาย อภิสิทธิ์ ยังเปิดเผยถึงกระบวนการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรครูปแบบใหม่ที่ให้สมาชิกทุกคนในพรรคมีสิทธิเลือกหัวหน้าพรรคว่า เป็นการยกระดับการเมือง และเชื่อว่าคนภายนอกจะไม่ได้มองว่าเป็นการขัดแย้งในพรรค แต่มองว่าเป็นรูปแบบใหม่ๆของพรรคการเมืองมากกว่า และมีแต่จะช่วยพาคนเข้ามาสนใจการเมืองมากขึ้น ทั้งนี้หากมีการขัดแย้งบ้างก็เป็นเรื่องปกติของการแข่งขันและถือเป็นวิถีประชาธิปไตย ส่วนการคิดวิธีหยั่งเสียงแบบใหม่นี้ก็ไม่ได้มองถึงความเสี่ยงของตนเอง พร้อมระบุว่าความเสี่ยงมีอยู่เสมอ แม้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ส่วนที่มีข่าวว่าการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้จะเป็นการตัดสินว่าพรรคจะเข้าร่วมกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) หรือไม่ นาย อภิสิทธิ์ ขออย่าถามคำถามนี้กับพรรค ควรไปถามฝ่ายอื่นมากกว่า ว่าต้องการมาร่วมกับพรรคหรือไม่ พร้อมชี้ว่าการคิดแต่จะไปร่วมงานหรือจับมือกับใคร โดยไม่คำนึงถึงอุดมการณ์และประโยชน์ที่จะทำให้ประเทศก็ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ใด ทั้งนี้ยังพร้อมดีเบตกับนายแพทย์ วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พิษณุโลก และนาย อลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรค ในการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในทุกเวทีหากได้รับเชิญ ยืนยันว่าพร้อมทำตามกติกาพรรคเสมอ นาย อภิสิทธิ์ ยังระบุถึงกรณีมีพรรคการเมืองเริ่มตั้งพรรคสำรองและการเขียนกติกาการเลือกตั้งของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ว่า สุดท้ายแล้วประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินว่าจะให้ใครชนะหลังการเลือกตั้ง แต่พรรคยืนยันว่าจะไม่แตกสาขา และจะดำเนินการอย่างโปร่งใส ทั้งมีจุดยืนในการเป็นพรรคการเมืองหลักและตรงไปตรงมาด้วย ด้านรองนายกรัฐมนตรีระบุว่าอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยไปพบนาย ทักษิณ ชินวัตร และตั้งพรรคสำรองไม่ถือเป็นความผิดนั้น มองว่ากกต.ควรตรวจสอบว่ามีการทำผิดหรือไม่ เพราะกฎหมายก็เขียนชัดว่าห้ามพรรคฮั้วกัน
...
ผสข.ธีรวัฒน์ สิทธิเกรียงไกร