เคซีเอ็นเอ สื่อของทางการเกาหลีเหนือรายงานว่า นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ แสดงความพอใจและมีความเห็นว่าการพูดคุยกับนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีการต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม มีประสิทธิผลและยอดเยี่ยม และตกลงที่จะหารือรอบสองกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ในเร็วๆ นี้
ซึ่งหลังจากที่นายปอมเปโอ เสร็จสิ้นการประชุมกับผู้นำเกาหลีเหนือแล้ว ก็เดินทางมาที่เกาหลีใต้เพื่อประชุมกับประธานาธิบดี มุน แจอิน ซึ่งยืนยันเรื่องที่ผู้นำเกาหลีเหนือกับประธานาธิบดีสหรัฐจะประชุมสุดยอดครั้งที่2 จากนั้นนายปอมเปโอเดินทางต่อมายังจีน ซึ่งบรรยากาศการพูดคุยตอกย้ำเรื่องความเห็นที่แตกต่างกัน โดยที่จีน นายปอมเปโอ รัฐมนตรีการต่างประเทศสหรัฐฯ พบหารือกับนาย หวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีการต่างประเทศของจีน นาย หวังกล่าวว่า สหรัฐฯ ต้องยุติการเพิ่มความตึงเครียดทางการค้าด้วยการใช้มาตรการภาษีศุลกากร นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังสนับสนุนไต้หวันในหลายประเด็น ซึ่งจีนถือว่าไต้หวันคือดินแดนของจีน รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ที่กระทบต่ออธิปไตยของจีน ซึ่งนายหวังกล่าวว่าทั้ง 2 ประเทศควรร่วมมือกัน แทนที่จะเดินหน้าเข้าสู่ความขัดแย้งและการเผชิญหน้า
อย่างไรก็ตาม นายปอมเปโอ กล่าวว่า อเมริกาไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวของนายหวัง และมีความกังวลอย่างมากต่อการกระทำของจีน และหวังว่า จะมีโอกาสหารือเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
สหรัฐกำลังพิจารณายกเว้นมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันอิหร่านให้กับบางประเทศที่พยายามลดการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่าน จากเดิมที่ต้องการให้ทุกชาติหยุดซื้อน้ำมันอิหร่านตามมาตรการคว่ำบาตรอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายนนี้
โดยอินเดียซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของอิหร่านจะยังคงนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านต่อไป แม้จะมีมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐก็ตาม ซึ่งก่อนหน้านี้อินเดียยังยืนยันเรื่องการซื้อระบบขีปนาวุธ S-400 ของรัสเซีย แม้ว่าสหรัฐฯจะเตือนว่าอาจถูกลงโทษทางเศรษฐกิจ แต่ผู้บัญชาการกองทัพอินเดียเปิดเผยว่า อินเดียไม่ใช่เมืองขึ้นของใคร และพวกเขามีสิทธิ์ที่ซื้อระบบขีปนาวุธจากรัสเซีย ซึ่งนอกจากนี้แล้ว อินเดียยังมีความสนใจเทคโนโลยีของรัสเซียด้วย
ส่วนซาอุดิอาระเบีย ยืนยันการเพิ่มกำลังผลิตอีก 1 ล้าน 3 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่ผลิต อยู่ทั้งหมดราว 10 ล้าน 7 แสนบาร์เรล/วัน เพื่อชดเชยปริมาณน้ำมันของอิหร่านที่หายไปจากตลาด
ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลง
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 5 เซ็นต์ ปิดที่ 74.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 25 เซ็นต์ ปิดที่ 83.91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 39.73 จุด หรือร้อยละ 0.15 ปิดที่ 26,486.78 จุด
เอสแอนด์พี ลดลง 1.14 จุด หรือร้อยละ 0.04 ปิดที่ 2,884.43 จุด
แนสแดค ลดลง 52.50 จุด หรือร้อยละ 0.67 ปิดที่ 7,735.95 จุด
และความคืบหน้าสถานการณ์หลังแผ่นดินไหวและสึนามิที่เกาะ สุลาเวสี ของอินโดนีเซีย ซึ่งเกิดเหตุเมื่อวันที่ 28 กันยายน ทางการสรุปจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 1,944 ราย ขณะที่สำนักงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติอินโดนีเซียได้รับแจ้งว่าผู้สูญหายอาจมากถึง 5,000 คน แต่เจ้าหน้าที่กู้ภัยจะค้นหาผู้ประสบภัยจนถึงวันที่ 11 ตุลาคมนี้ จากนั้นจะเปลี่ยนบางพื้นที่ของเมืองปาลู เป็นสุสานขนาดใหญ่ โดยมีโครงการที่จะสร้างอนุสรณ์ เพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิต
ที่เมืองตูลูส ทางใต้ของฝรั่งเศส ตำรวจกำลังติดตามหาตัวคนร้าย 2 คนที่ก่อเหตุกราดยิงภายในบาร์แห่งหนึ่งในย่านเลอ ปาปุส ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 รายเป็นชายอายุ 36 ปี และมีผู้บาดเจ็บ 2 คน คนหนึ่งมีอายุ 41 ปีมีอาการสาหัส ตำรวจระบุว่า คนร้ายทั้ง 2 คนพร้อมอาวุธเดินทางมาที่เกิดเหตุด้วยรถจักรยานยนต์แล้วเข้าไปก่อเหตุกราดยิงในร้าน จากนั้นก็หลบหนีไป เบื้องต้นคาดว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอาชญากร สื่อในตูลูสรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้จักชายคนที่เสียชีวิต
บริษัทกูเกิล แถลงว่าตรวจพบช่องว่าง (bug) ในระบบซึ่งอาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าจำนวน 500,000 รายรั่วไหลออกไป จึงปิดการให้บริการ Google+ และเปลี่ยนแปลงแนวทางการรักษาข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า โดยปัญหาเกิดขึ้นในแพลทฟอร์มการพัฒนา Google+ ที่ทำให้ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า เช่น ชื่อของผู้ใช้งาน, ชื่ออีเมล์, อาชีพ, เพศ และอายุ มีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตี แต่กูเกิลยืนยันว่า ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าแฮกเกอร์ได้เข้าถึงข้อมูลเหล่านี้แล้ว
....