ศาล ออกหมายจับ นายนพพร หรือ เสี่ยนิค เพิ่มอีกคดี หลบหนีไม่มาศาล

21 กันยายน 2561, 18:50น.


รายงานข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เปิดเผยว่า นายนพพร ศุภพิพัฒน์ หรือ “เสี่ยนพพร” หรือ “เสี่ยนิค” ถูกศาลอาญาออกหมายจับเพิ่มเติมอีกคดี ภายหลังจากที่ไม่มาศาล ตามกำหนดนัดและมีพฤติการณ์หลบหนีในคดีที่บริษัทเคพีเอ็น เอนเนอยี (ประเทศไทย) จำกัด ยื่นฟ้องกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้าง ก่อนหน้านี้ นายนพพร ก็เคยถูกศาลทหาร ออกหมายจับตกเป็นข่าวไปทั่วประเทศมาแล้วในคดีร้ายแรงข้อหาหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และคดีกรรโชกทรัพย์ จนหลบหนีออกจากไทยไปกบดานในต่างประเทศจนถึงปัจจุบัน



รายงานแจ้งว่า ศาลอาญาได้ออกหมายจับนายนพพร อีกใบในคดีใหม่ ล่าสุดนี้ เป็นหมายจับตามคดีหมายเลขดำที่ อ.3930/2559 คดีหมายเลขแดงที่ อ.763/2561 ออกเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2561 หลังไม่มาปรากฏตัวต่อศาล พฤติการณ์มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยหลบหนีคดี เนื่องจาก บริษัทบริษัท เคพีเอ็น เอนเนอยี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KPNET (เดิมคือบริษัท รีนิวเอเบิล เอนเนอร์ยี่ฯ หรือ “REC”)  เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายนพพร กับพวกรวม 3 คน ในความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้าง



สำหรับพฤติการณ์การกระทำความผิดของนายนพพร จำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องสืบ ย้อนไปตั้งแต่ช่วงต้นปี 2552 เรื่อยมา โดยขณะนั้นนายนพพร เป็นลูกจ้างของบริษัท REC หรือ KPNET ในปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ  มีอำนาจกระทำการต่างๆ แทนบริษัทฯ โจทก์ได้อาศัยตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตลักเอาทรัพย์ของโจทก์ไป ด้วยการสั่งให้พนักงานทำเอกสารขอกู้ยืมเงินเพื่อโยกเอาเงินสดในบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด ของโจทก์ ผันออกไปให้ตนเองและบุคคลที่สาม โดยไม่มีการทำสัญญากู้ยืมเงินใดๆ ทั้งสิ้นกับบริษัทฯ 



จากการตรวจสอบพบว่านายนพพร ในฐานะจำเลยกระทำพฤติกรรมดังกล่าวหลายกรรมหลายวาระ จำนวนเงินสดที่ใช้กลอุบายกู้ออกไป สร้างความเสียหายให้บริษัทฯ ของโจทก์ หลายร้อยล้านบาท ทั้งนี้ ขณะเกิดเหตุ นายนพพร ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการและเป็นกรรมการผู้มีอำนาจแต่ผู้เดียวในขณะนั้น มีหน้าที่จัดการให้มีการบันทึกบัญชี ลงบัญชี และทำเอกสารประกอบทางบัญชีอย่างครบถ้วนถูกต้อง แต่กลับสั่งการและจัดการให้มีการลงบัญชีเท็จว่า นายนพพร กู้ยืมเงินบริษัทของโจทก์ ทั้งที่โดยแท้จริงแล้วไม่ได้มีการกู้ยืมเงินจริง ไม่มีแม้กระทั่งสัญญากู้ยืมเงิน ถือเป็นการกระทำโดยเจตนาทุจริต เพื่อลวงผู้สอบบัญชีและผู้ถือหุ้น และสร้างความเสียหายให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ โจทก์



รายงานข่าวเผยด้วยว่า ช่วงกลางปี 2559 ฝ่าย KPNET  หรือฝ่ายโจทก์ได้แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นตรวจสอบธุรกรรมดังกล่าว รวมถึงว่าจ้างและปรึกษาประเด็นปัญหานี้กับบริษัทที่ปรึกษากฎหมายของบริษัทฯ  จึงได้ค้นพบว่าการกระทำของนายนพพร เป็นการลักเอาทรัพย์ของบริษัทฯ โจทก์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือบุคคลที่สามโดยเจตนาทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้จากหน้าที่ที่นายนพพรได้รับมอบหมายจากบริษัทฯ โจทก์ จึงเป็นเหตุให้ต้องยื่นฟ้องร้องนำคดีมาสู่ศาลในที่สุด ต่อมาศาลไต่สวนแล้วเห็นว่าคดีมีมูลจึงให้รับฟ้องไว้พิจารณา และในที่สุดศาลได้พิจารณาออกหมายจับนายนพพร เพราะเหตุพฤติการณ์หลบหนีคดีอีกใบ



สำหรับนายนพพร ปัจจุบันยังคงหลบหนีหมายจับศาลทหารกรุงเทพ ในคดีหมิ่นเบื้องสูง ม.112 และข้อหาอื่นๆ โดยไปติดต่อจ้างวานแก๊งทวงหนี้ของสามพี่น้องตระกูล "อัครพงศ์ปรีชา" ซึ่งมีพฤติกรรมแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ไปอุ้มตัวนายบัณฑิต โชติวิทยะกุล เจ้าหนี้ของนายนพพร มาบีบบังคับให้ลดหนี้จากจำนวน 120 ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท



ผู้สื่อข่าว:ปภาดา พูลสุข



แฟ้มภาพ 



 

ข่าวทั้งหมด

X