ผู้เสียหายกว่า30คนร้องสตช.ถูกหลอกขายทองคำผ่านเฟซบุ๊คเสียหายกว่า40ล้านบาท

นายอธิพงษ์ นาครอด อายุ 38 ปี พร้อมผู้เสียหายกว่า 30 คน เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอ.สตร.) เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับผู้ใช้เฟซบุ๊ค "น.ส.ชาลินี วิทยา" หลังถูกหลอกซื้อขายทองคำผ่านเฟซบุ๊ค มีมูลค่าความเสียหายกว่า 40 ล้านบาท

นายอธิพงษ์ เล่าว่า ได้ทำการซื้อขายทองคำกับเจ้าของเฟซบุ๊ครายดังกล่าวมานานกว่า 1 ปีแล้ว โดยเจ้าของเฟสบุ๊คจะโพสต์ขายทองคำให้ในราคาถูกกว่าท้องตลอด 2-3 พันบาท และก่อนหน้านี้ก็มีการซื้อขายตามปกติ ใช้วิธีโอนเงินเข้าบัญชีของ น.ส.ชาลินี เจ้าของเฟซบุ๊ค จากนั้นจะมีการจัดส่งทองคำให้ทางไปรษณีย์ ที่ผ่านมาได้รับสินค้าทุกครั้ง จนกระทั่งครั้งล่าสุดได้มีการติดต่อซื้อขายทองคำเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2561 โดยผู้ใช้เฟซบุ๊ครายหนึ่งอ้างว่าจะได้รับทองคำภายใน 2 วัน และราคาถูกกว่าเดิมที่เคยซื้อขาย ซึ่งตนเห็นว่าได้ราคาถูก และได้ทองคำเร็ว จึงได้รวบรวมระดมทุนทั้งจากของตนเองและญาติพี่น้องมาซื้อ เพื่อหวังจะได้กำไร โดยเฉพาะของตนมูลค่าเกือบ 4 ล้านบาท แต่เมื่อโอนเงินไปแล้ว กลับไม่ได้รับสินค้าตามกำหนด เมื่อมีการทวงถามไปกลับติดต่อไม่ได้ ก่อนที่เจ้าของเฟซบุ๊คจะปิดเฟซไป

นอกจากตนเองแล้ว ยังมีผู้เสียหายรายอื่นที่ถูกหลอก และหาเงินมาสั่งซื้อทองคำในล๊อตเดียวกันอีกหลายคน โดยรายที่มีมูลค่าสูงสุด คือ 10 ล้านบาท จากการสอบถามผู้เสียหายส่วนใหญ่เล่าว่าทางเจ้าของเฟซบุ๊ค ได้สร้างความน่าเชื่อถือต่างๆโดยอ้างว่ารู้จักและเป็นญาติกับเจ้าของร้านทองหลายแห่ง และมีการโพสต์ข้อความและแชร์ภาพเกี่ยวกับการสั่งซื้อ การส่งสินค้า แต่หลังจากเกิดเรื่อง เมื่อตรวจสอบไปยังร้านทองกลับพบว่าไม่รู้จักและถูกแอบอ้างชื่อร้าน จึงได้รวมตัวกันมาตามไปทวงถามที่บ้านของในพื้นที่ จังหวัดลพบุรี โดยพบเพียงอดีตสามีซึ่งเป็นทหารยศ "พันอากาศเอก" กลับอ้างว่าไม่ทราบว่าภรรยาไปไหน และไม่รู้เห็นเกี่ยวกับการซื้อขาย แต่ทางผู้เสียหายไม่เชื่อ เพราะสามีก็เคยสั่งซื้อสินค้า กับ น.ส.ชาลินีด้วยเช่นกัน จึงรวมตัวกันมาแจ้งความร้องทุกข์ให้ช่วยติดตามเนื่องจากเกรงว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ เพราะยังไม่มีหมายจับและมีเงินเป็นจำนวนมาก

ก่อนหน้านี้ทางผู้เสียหายยังพบว่า น.ส.ชาลินี เคยโกงเงินค่าแชร์เกือบล้านบาทเมื่อปี 2557 แต่ไม่ได้ถูกดำเนินคดี ทางพนักงานสอบสวนจึงได้สอบปากคำและลงบันทึกประจำวัน เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีต่อไป