รองนายกฯ กำชับให้ระวังเรื่องการระบายน้ำต้องไม่กระทบประชาชน

02 สิงหาคม 2561, 15:22น.


จากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี สั่งการให้บริหารจัดการน้ำและเตรียมการระบายน้ำล่วงหน้าแล้ว 1 เดือน แต่หลายเขื่อนที่มีปริมาณน้ำเพิ่มสูงผิดปกติเกิดจากพายุที่เข้ามาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ทำให้น้ำเพิ่มขึ้นรวดเร็ว สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องระบายน้ำออกเป็นระยะ ตามความเหมาะสมของพื้นที่ พร้อมทั้งกำชับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และทุกเขื่อน ตรวจสอบเรื่องการระบายน้ำให้มากขึ้น รักษาระดับให้อยู่ในมาตรฐาน และมอบหมายให้กรมชลประทาน ลงพื้นที่ตรวจสอบการกักเก็บ การระบายน้ำของเขื่อนขนาดใหญ่ และขนาดกลาง ส่วนเขื่อนขนาดเล็กให้ท้องถิ่นเป็นผู้ตรวจสอบเรื่องความมั่นคง โดยเริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ (1 ส.ค.61)



ส่วนการคาดการณ์ว่าพายุลูกใหม่ จะเข้ามาในประเทศไทยวันที่ 5 ส.ค.นี้ สทนช. จะบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดจากกรมอุตุนิยมวิทยา โดยใช้ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะของกรมชลประทานเป็นข้อมูลหลัก ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในบางพื้นที่เริ่มดีขึ้นเป็นระดับ โดยจะมีการรายงานผลการระบายน้ำเข้ามาทุกวัน นอกจากนี้ ได้ย้ำกับเจ้าหน้าที่ว่าการระบายน้ำ ต้องระมัดระวัง เรื่องผลกระทบต่อบ้านเรือนและพื้นที่ทางการเกษตรของประชาชน ดังนั้นจังหวัดต้องแจ้งให้ประชาชนรับทราบว่าจะมีการระบายน้ำและระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นเท่าใด เพื่อให้ประชาชนเตรียมการได้ทันเวลา ส่วนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะวิเคราะห์สถานการณ์น้ำจากภาคเหนือเป็นหลัก



รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มชาวประมง 22 จังหวัด กว่า 2,000 คน ยื่นหนังสือคัดค้านกรณีที่รัฐบาลจะให้สัตยาบันเพื่อรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 188 (C188) โดยยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาภายใน 7 วัน หากไม่ดำเนินการ จะหยุดเดินเรือในทันทีว่าได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และเป็นปัญหาในเรื่องการขาดแคลนของภาคประมงซึ่งผู้แทนของกลุ่มได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา ส่วนเรื่องการทำประมง มองว่า เมื่อมีการพูดคุยกันจะสามารถเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี ไม่น่ามีปัญหา พร้อมยืนยันเรื่องที่มีผู้คัดค้านจะยื่นถวายฎีกาว่าไม่เป็นความจริง เพราะในข้อร้องเรียนที่ยื่นหนังสือมาระบุเพียงให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือเรื่องการขาดแคลนแรงงานและอนุสัญญา 188 เท่านั้น



ส่วนเรื่องการซื้อเรือประมงคืนประมาณ 1,900 ลำ จะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 (กขป. 5) ที่มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานพิจารณา จากนั้นจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป



ผู้สื่อข่าว:เกตุกนก ครองคุ้ม



 



 

ข่าวทั้งหมด

X