'หมอภาคย์'ยกย่องโค้ชเอกให้กำลังใจทีมหมูป่า/ยธ.เตือนเป็นหนี้ต้องใช้หนี้/ประหารอดีตผู้ใหญ่บ้านข่มขืนฆ่า

17 กรกฎาคม 2561, 12:44น.


กำลังพล กองพันเสนารักษ์ที่ 3 ต้อนรับและมอบช่อดอกไม้ให้แก่ พ.ท.นพ.ภาคย์ โลหารชุน ผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ที่3 (ผบ.พัน.สร.3) จากการปฏิบัติภารกิจกู้ภัยช่วยเหลือ 13 ชีวิตทีมหมูป่าอะคาเดมี แม่สาย จังหวัดเชียงราย ออกจากถ้ำได้สำเร็จปลอดภัย และกลับสู่หน่วยมาตุภูมิ กองพันเสนารักษ์ที่ 3 กองพลทหารราบที่ 3 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) อ.เมือง จ.นครราชสีมา



หลังพิธีต้อนรับ พ.ท.นพ.ภาคย์ กล่าวว่าการช่วยเหลือทีมหมูป่า อะคาเดมี่ครั้งนี้ ถือว่าเป็นการกู้ภัยในถ้ำเป็นครั้งแรกในโลก ที่มีหลายหน่วยงานจากทั่วโลกเดินทางมาช่วยเหลือ ซึ่งจะเป็นประสบการณ์ที่สำคัญให้กับการปฏิบัติงานกู้ภัยลักษณะนี้ให้กับคนทั้งโลก และกล่าวยกย่องโค้ชเอก หรือนายเอกพล จันทะวงษ์ ว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญเสียสละ และให้กำลังใจเด็กๆ ให้มีความหวังอยู่เสมอ โดยเด็กๆ ทั้ง 12 คนและโค้ชเอก มีจิตใจดีงาม ใสซื่อ ไร้เดียงสา ตามประสาเด็กๆ ที่สำคัญทุกคนมีวินัยมาก นอกจากนี้เด็กๆ ทุกคนจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี จะพูดคุยแต่เรื่องที่สร้างสรรค์ เช่น ออกไปแล้วอยากจะไปเที่ยวที่ไหน อยากจะกินอาหารอะไรกันบ้าง ซึ่งถือว่าสิ่งนี้สำคัญมากต่อสุขภาพกายและใจ พวกเขามีสิ่งที่วิตกอยู่เรื่องเดียว คือกลัวว่าออกไปแล้ว จะทำการบ้านที่ค้างอยู่ส่งครูไม่ทันเพื่อน ดังนั้นทั้งหมดต้องยกความดีให้กับโค้ชเอกที่สามารถสั่งสอนเด็กๆ ให้มีสติ มีความหวัง และมีระเบียบวินัย จนสามารถอยู่รอดได้ถึงวันที่ออกจากถ้ำ



ส่วนการที่มีคนตั้งฉายา "หมอที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี" ให้นั้น ต้องขอขอบคุณ แต่มองว่าตนเองยังไม่ใช่ที่สุด เพราะยังมีคนที่แข็งแกร่งอีกมาก



ส่วนกรณีที่กลุ่มวิชาชีพครูจำนวนมากกว่า 100 คน ประกาศปฏิญญามหาสารคาม เรียกร้องให้รัฐบาลและธนาคารออมสินพักหนี้โครงการสวัสดิการเงินการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ทุกโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ เป็นต้นไป พร้อมชักชวนลูกหนี้ ช.พ.ค. จำนวน 450,000 คน ทั่วประเทศ ยุติการชำระหนี้กับธนาคารออมสิน ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมอีกด้วยนั้นนายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า จงรับสภาพการเป็นบุคคลล้มละลายหากกรณีเป็นบุคคลธรรมดาที่มีหนี้สินเกิน 1 ล้านบาท และจะทำให้ผู้ค้ำประกันเป็นบุคคลล้มละลายไปด้วย ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาหากถูกพิพากษาให้ล้มละลาย จะขาดคุณสมบัติในการเป็นข้าราชการ ต้องออกจากราชการ ไม่สามารถทำนิติกรรมสัญญาใดๆ ได้ ไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ หากมีความจำเป็นต้องเดินทาง ต้องขออนุญาตจากพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กรมบังคับคดี ต้องทำบัญชีรายรับรายจ่าย ส่งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทุกๆ 6 เดือน ต้องส่งรายได้ตามที่เจ้าพนักงานจะอายัดเข้ากองทรัพย์สิน การถูกสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย จะมีระยะเวลา 3 ปี เมื่อครบกำหนดก็จะถูกปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลาย ยกเว้นกรณีที่ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหนี้ ก็อาจจะมีการขยายเวลาเป็น 5 หรือ 10 ปี เมื่อปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว ก็จะสามารถทำงานและทำธุรกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ



ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีละเมิดอำนาจศาล คดีที่ผู้อำนวยการศาลอาญา เป็นผู้กล่าวหานายวัฒนา เมืองสุข อายุ 60 ปี กรณีเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2560 นายวัฒนา ผู้ถูกกล่าวหา พร้อมด้วยนายนรินทร์พงศ์ จินาภักดิ์ ทนายความของนายวัฒนา มายื่นคำร้องอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งฝากขังของพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ในคดีกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา116ต่อศาลอาญา เสร็จแล้วไปแถลงข่าวบริเวณหน้าบันไดศาลอาญา โดยไม่ได้ขออนุญาตจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเพื่อเผยแพร่ข่าว อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) ว่าด้วยการให้ข่าวและบริการข่าวศาลยุติธรรม



จากการไต่สวนได้ความว่าก่อนวันที่ 28 สิงหาคม มีการส่งข้อความทางไลน์เชิญสื่อมวลชนร่วมทำข่าวการยื่นอุทธรณ์คำสั่งฝากขังที่บันไดศาล เมื่อนายวัฒนายื่นอุทธรณ์ก็แถลงต่อสื่อมวลชนประมาณ 5 นาที ซึ่งนายวัฒนาเบิกความว่าไม่ได้เป็นผู้ส่งข้อความทางไลน์ และไม่ทราบระเบียบการให้ข่าว ซึ่งสอบถามเจ้าหน้าที่แล้วบอกสามารถให้ข่าวได้ เป็นจุดที่ผู้สื่อข่าวทำอยู่เป็นประจำ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งข้อความทางไลน์ และการให้ข่าวก็เป็นการตอบคำถามทั่วไป พิพากษากลับว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีความผิดละเมิดอำนาจศาล



ส่วนที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษา คดีนายกฤติเดช ระเวงวรรณ อดีตผู้ใหญ่บ้านสีถาน ก่อเหตุข่มขืนฆ่าหญิงสาวอายุ 18 ปี นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 6 โดยครอบครัวของผู้เสียชีวิตนำภาพของผู้เสียชีวิตมาที่ศาลด้วย คดีนี้อัยการตั้งข้อหาข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ซึ่งศาลชั้นต้นจังหวัดกาฬสินธุ์ตัดสินประหารชีวิตนายกฤติเดช จำเลย และให้ชดใช้ค่าสินไหม จำนวน 2,390,000 บาท แต่จำเลยได้ใช้สิทธิ์ในการยื่นอุทธรณ์ปฏิเสธ



ศาลอุทธรณ์ ตัดสินยืนประหาร นายกฤติเดช ในคดีข่มขืนฆ่า



... 



 

ข่าวทั้งหมด

X