ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ แถลงภายหลังเกิดเหตุมือปืนบุกกราดยิงที่สำนักงานของหนังสือพิมพ์ “เดอะ แค็พพิทอล กาแซ็ท” ในเมืองแอนนาโพลิส รัฐแมริแลนด์ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 คน บาดเจ็บอีก 2 คน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยยอมรับว่า เหตุดังกล่าวสร้างความตกตะลึงและนำความหดหู่มาให้แก่ชาวอเมริกัน แต่นักข่าวก็ควรทำงานได้อิสระ ปราศจากความหวาดกลัวภัยคุกคามระหว่างการทำงาน วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่า ผู้ต้องสงสัยชื่อ นายจาร์ร็อด รามอส เป็นชาวรัฐแมริแลนด์ ซึ่งถูกควบคุมตัวดำเนินคดี 5 กระทง มีความแค้นกับ นสพ.ต้นสังกัดมาเป็นเวลานานตั้งแต่ปี 2554 ผู้ต้องสงสัยวัย 38 ปีใช้ปืนลูกซองระบบ “ปั๊มพ์-แอ็คชัน” ซึ่งซื้อมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยคาดหวังว่า จะสังหารผู้คนที่สำนักงานของ นสพ. ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เห็นได้จากการใช้กลวิธีล่ายิงผู้บริสุทธิ์ ขณะที่นายโทมัส มาร์การ์ด อดีตบรรณาธิการของ นสพ. เปิดเผยว่า นายรามอสมีพฤติกรรมข่มขู่ผู้สื่อข่าวและ นสพ. กระทั่งเจ้าหน้าที่ถูกบอกให้โทรเบอร์ฉุกเฉิน หากนายรามอส เข้าไปในสำนักงาน
ทั้งนี้ ภายหลังเกิดโศกนาฏกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในครั้งเลวร้ายที่สุดที่มุ่งเป้าหมายไปที่นักข่าวในสหรัฐฯ เพื่อนร่วมงานและผู้สื่อข่าวของ นสพ.“เดอะ แค็พพิทอล กาแซ็ท” ได้ร่วมกันไว้อาลัยเหยื่อผู้บริสุทธิ์ที่เคราะห์ร้าย ด้วยการนำดอกไม้ โน้ตบุ๊ก และ นสพ. ผูกริบบิ้นสีขาว วางไว้ในบริเวณอนุสรณ์ชั่วคราวใกล้สำนักงาน นสพ.ดังกล่าว
สำหรับการจับกุมนายรามอสครั้งนี้ สหรัฐฯ ได้ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าช่วยในการตรวจสอบ หลังจากนายรามอส ซึ่งเคยมีประวัติการจับกุมมาก่อน ปฏิเสธให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งยังไม่ทราบผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือในทันที อย่างไรก็ดี การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในช่วงระยะ 2-3 ปีที่แล้ว ทั้งความเสี่ยงในเรื่องฐานข้อมูลส่วนบุคคล เสรีภาพพลเรือน และเทคโนโลยีที่ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากมีความคลาดเคลื่อนสูง
ทีมต่างประเทศ
FilePhoto