ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30 น.
+++หลังสหรัฐ ยกระดับไทย ขึ้นสู่เทียร์ 2 นางบุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ การปรับอันดับครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า สหรัฐตระหนักถึงความพยายามของไทยในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จากนี้ ไทยพร้อมร่วมมือ ทุกภาคส่วนต่างๆองค์การระหว่างประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกาแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ให้เกิดผลมากที่สุด
+++ประเด็นร้อนการเมือง กรณีกลุ่มสามมิตร นำโดย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรองนายกฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา นายอนุชา นาคาศัย อดีตสส.ชัยนาท นายจำลอง ครุฑขุนทด อดีต สส.นครราชสีมา และนายภิรมย์ พลวิเศษ อดีตสส.นครราชสีมา ได้มีการพูดคุยกลุ่ม ผู้ประสงค์จะเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐและสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นนายกฯสมัยหน้าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม คิดว่าการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นสิ่งที่ดี เพื่อจะได้ทำงานให้ประเทศชาติ เข้มแข็ง และแข็งแกร่งขึ้น ขอให้ดูต่อไปแล้วกันเชื่อมั่นว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะไปต่อได้และตนให้การสนับสนุนอยู่แล้ว
+++ด้าน นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการพูดคุยกับพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ว่า วันนั้นไม่ได้พูดถึงการปลดล็อกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ที่ 53/2560 ว่า จะผ่อนคลายเรื่องใดบ้างและที่ประชุมก็ไม่มีใครถามเรื่องดังกล่าว ส่วนการพบปะหารือกับพรรคการเมืองในครั้งที่ 2 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เป็นประธาน จึงจะมีการพูดถึงเรื่องนี้ เมื่อถามว่า ได้กำหนดวันพูดคุยกับพรรคการเมืองในครั้งต่อไปแล้วหรือยัง นายวิษณุกล่าวว่า ยังไม่ได้กำหนด จะไม่มีการกำหนดวันจนกว่าจะรู้เวลาที่กฎหมายลูกประกาศในราชกิจจานุเบกษา
+++ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า จากผลการสำรวจความนิยมพรรคการเมืองล่าสุดที่พบประชาชน ร้อยละ 55.02 ยังให้ความนิยม พรรคเพื่อไทย โดยประชาชนส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทย จะบริหารประเทศด้านเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้อง ทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุทำให้มีขบวนการหวังทำลายความนิยมพรรคเพื่อไทยและทำให้พรรคอ่อนแอ ซึ่งอาจจะมีทั้ง คสช.,กกต.,ป.ป.ช.,และปชป.ร่วมมือกัน ใช่หรือไม่ ตั้งแต่ความพยายามที่จะยุบพรรค เพื่อไทยในเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล นอกจากนี้ ยังมีความพยายามดำเนินคดีกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงจากประชาชนมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่เวลาผ่านมา 10 กว่าปีแล้ว เช่น คดี ทีพีไอ ที่ผู้นำประเทศสมัยนั้นต้องแก้ไขหนี้ก้อนใหญ่สุดของประเทศ โดยใช้กระทรวงการคลัง
+++นายอาณัติ อาภาภิรม ประธานคณะกรรมการฝ่ายจัดการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส มั่นใจว่าแนวทางแก้ปัญหาเดินถูกทาง เนื่องจากการรบกวนสัญญาณสื่อสารจากความถี่ 2300 เมกะเฮิร์ต ที่มีต่อสัญญาณวิทยุของบีทีเอสที่ใช้ย่านความถี่ 2400 เมกะเฮิร์ต ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น หลังจากปิดคลื่นความถี่ 2300 เมกะเฮิร์ตในแนวเส้นทางรถไฟฟ้าบีทีเอส พบว่าไม่มีปัญหาทำให้รถไฟฟ้าขัดข้องตั้งแต่ช่วงเช้าวานนี้ (28 มิ.ย.) ส่วนข้อแนะนำของ กสทช.ที่บีทีเอสจะรับมาดำเนินการ โดยการเปลี่ยนคลื่นความถี่ใช้คลื่นความถี่ใกล้ 2500 เมกะเฮิร์ต ซึ่งจะติดตั้งระบบของบริษัทใหม่แทนระบบเดิมเสร็จคืนวันที่ 29 มิถุนายนนี้ หลังจากนั้นจะทำการติดตามประมินผลว่าการเปลี่ยนคลื่นความถี่มีผลอย่างไร ซึ่งต้องวัดผลช่วงเช้าวันที่ 2 กรกฎาคมในช่วงมีการเดินทางจำนวนมาก รวมทั้งประชาชนใช้คลื่นโทรศัพท์จำนวนมาก เมื่อดำเนินการจนมั่นใจแล้วจะมีการแจ้งให้ทีโอที คืนคลื่นความถี่ 2300 เมกะเฮิร์ตให้ประชาชนใช้ตามปกติอีกครั้ง
+++ขณะที่นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้จัดการบีทีเอส กล่าวว่า ค่าปรับ 1.8 ล้านบาทที่ กทม.ให้ข่าวนั้น ขณะนี้ได้รับทราบจากสื่อฯ และจะหารือกับ กทม.อีกครั้ง และเตรียมแผนสำรองกรณีวันที่ 2 กรกฎาคมการแก้ปัญหายังไม่สำเร็จและต้องขนถ่ายผู้โดยสาร
+++นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.)พร้อมด้วยนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และคณะผู้บริหารกทม.ลงพื้นที่ตรวจการติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณของรถไฟฟ้าบีทีเอสที่กำลังเร่งดำเนินการติดตั้งให้แล้วเสร็จตามกำหนดภายในวันศุกร์หลังเกิดเหตุรถไฟฟ้าบีทีเอสขัดเมื่อ3วันที่ผ่านมา
+++ส่วนกรณีที่กรุงเทพมหานครจะดำเนินการปรับบีทีเอส ในวงเงิน1.8 ล้านบาทนั้น หลังคุณภาพเดินรถต่ำกว่าKPI ที่กรุงเทพมหานครตั้งไว้ เมื่อกรุงเทพมหานครกลับไปตรวจสอบแล้วพบว่าจุดที่บีทีเอสขัดข้อง อยู่ในส่วนที่บีทีเอสได้รับสัปทาน ไม่ใช่การจ้างเดินรถ จึงไม่สามารถปรับได้อีกทั้งสัญญาสัปทานก็ไม่ได้ระบุว่ามีบทลงโทษกับบีทีเอสอย่างไร เพราะฉะนั้นบีทีเอสจึงต้องไปหามาตรการชดเชยต่อผู้โดยสารแทน
+++ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงตัวเลขเศรษฐกิจประจำเดือน พ.ค. 2561 ต้องดูว่ามีทิศทางอย่างไร จากก่อนหน้านี้หลายสำนักได้ปรับขึ้นคาดการณ์เศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มดีขึ้นทุกด้าน
+++มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)เปิดเผยผลสำรวจสถิติและสถานภาพของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลของ SMEs เพื่อสะท้อนปัญหาที่แท้จริงของผู้ประกอบการ
+++วันนี้ ต้องติดตามหุ้นไทย และค่าเงินบาท หลังดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ ปิดตลาดที่ระดับ 1,599.54 จุด ลดลง 19.12 จุด (-1.18%) มูลค่าการซื้อขาย 56,974.68 ล้านบาทนักลงทุนกังวลกระแสเงินทุนไหลออก หลังเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 2,123.28 ล้านบาท
+++ส่วนผลกระทบต่อการส่งออกของไทย คาดว่าการเก็บภาษีนำเข้าสินค้า ทั้งของสหรัฐและจีน จะมีผลเป็นผลเป็นลบต่อการส่งอออกของไทยในปี 2561 ราว 280-420 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่จากปริมาณการค้าโลกที่ยังอยู่ระดับสูง จึงได้ปรับประมาณการส่งออกปีนี้โต 8.8% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 4.5% ภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดี และการใช้จ่ายในประเทศที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และราคาน้ำมันที่ยังแกว่งในกรอบ 65-75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ยังเป็นแรงหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ค่าเงินบาทจะอ่อนลงไปแตะ 32.50-33.50 บาทต่อ ดอลลาร์สหรัฐ และจะมีการปรับประมาณการใหม่ โดยโน้มไปทางอ่อนค่ามากขึ้น