กรมการปกครองให้สัญชาติไทย เจ้าอาวาสวัดสวนดอกแล้ว คดีสวมบัตรปชช.คนตายยังไม่ส่งฟ้อง

นายสิทธิศักดิ์ อภิกุลชัยสิทธิ์ นายอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า หลังกรมการปกครองอนุมัติให้สัญชาติไทย พระราชรัชมุนี เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ และเจ้าอาวาสวัดสวนดอก โดยอำเภอแม่อาย กำลังอยู่ระหว่างการขอเอกสารผลตรวจดีเอ็นเอจากภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อีกครั้ง โดยได้ยื่นขอไปตั้งแต่เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2561 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดส่งเอกสารมาให้ทางอำเภอแม่อาย สำหรับผลการตรวจดีเอ็นเอตัวอย่างจากญาติสนิท ยืนยันความเป็นพี่น้องร้อยละ 99และได้รับเอกสารผลตรวจดีเอ็นเอแล้ว พระราชรัชมุนี ต้องนำพยานมายืนยันอีกครั้งเพื่อออกบัตรประจำตัวประชาชนให้ในนามของนายนิมิต ยอดคำ

ส่วนคดีการสวมบัตรประชาชนที่ได้มีการแจ้งความไว้นั้น ยังคงดำเนินการไปตามกระบวนการยุติธรรมซึ่งความคืบหน้าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งสำนวนรวม 3 ข้อหา คือ ยื่นคำขอมีบัตร โดยมิได้มีสัญชาติไทย ด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริง ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่,แจ้งข้อความหรือหลักฐานอันเป็นเท็จ ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ในการขอมีบัตรและเป็นคนไม่มีสัญชาติไทย ตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ ทำ ใช้ หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อให้ตนเองมีชื่อในเอกสารทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ หลังจากรับสำนวนแล้วอัยการขอให้มีการสอบพยานเพิ่มเติมเพื่อประกอบสำนวนพิจารณาจะสั่งฟ้องหรือไม่

ด้านบรรยากาศภายในวัดสวนดอก เป็นไปอย่างสงบ มีสามเณรเข้า-ออกวัดเพื่อเรียนหนังสือตามปกติ รวมทั้งมีนักท่องเที่ยวเดินเที่ยวชมภายในวัด ถ่ายรูปและไหว้พระ เพื่อความเป็นสิริมงคล รบมทั้งมีการจัดพิธีทางศาสนาตามปกติ ขณะที่พยายามพูดคุบกับพระภายในวัดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ต่างตอบว่าไม่ทราบเรื่องรางวดังกล่าว ส่วนตัวเจ้าอาวาสก็ไม่ทราบว่าไปไหนโดยไม่มีการปรากฎตัวมาหลายเดือนแล้ว

ก่อนหน้านี้ ผู้ร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อขอให้ตรวจสอบพระราชรัชมุนี เจ้าอาวาสวัดสวนดอก พระอารามหลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงใหม่ เนื่องจากมีข้อมูลหลักฐานว่าพระราชรัชมุนี มีการใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชนตรงกับชายชาวจังหวัดชัยภูมิที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อปี 2538 ตลอดจนมีข้อมูลที่อ้างด้วยว่าพระผู้ใหญ่รายนี้อาจจะเป็นชาวเมียนมาร์ เบื้องต้น พระราชรัชมุนี ได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ยืนยันว่าเป็นคนไทย กระทั่งหายตัวออกจากวัดไปโดยไม่ทราบไปไหน