รมว.คมนาคม กำชับใช้พื้นที่กรมทางหลวงสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-สีชมพูไม่กระทบจราจรปชช.

13 มิถุนายน 2561, 12:40น.


พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกันและอนุญาตให้ใช้พื้นที่เพื่อก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และรถไฟฟ้าสายสีชมพู ระหว่างกรมทางหลวง และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การลงนามครั้งนี้เป็นหนึ่งในนโยบายของกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคมขนส่งโดยเฉพาะการขนส่งสาธารณะ ที่มีรฟม. เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นของกรมทางหลวง ทั้ง 2 หน่วยงาน จึงได้หารือเรื่องรายละเอียดอย่างต่อเนื่อง และได้กำชับว่า การก่อสร้างจะต้องไม่ให้รบกวนผิวถนน เพื่อรักษาถนนให้ผู้ใช้ทาง และกำชับรฟม.ให้ประสานงานกับตำรวจจราจร  ดูแลพื้นที่ในช่วงระหว่างการก่อสร้างให้เกิดปัญหาการจราจรกับประชาชนน้อยที่สุด  และหากดำเนินการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะต้องรีบคืนพื้นที่โดยเร็ว  ทั้งนี้ การคมนาคมขนส่งโดยรถไฟฟ้า เป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะเคลื่อนย้ายผู้ใช้รถยนต์ส่วนตัว มาใช้รถโดยสารสาธารณะมากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด จึงจำเป็นต้องสร้างรถไฟฟ้าให้สำเร็จ หวังว่าทั้ง 2 โครงการจะสำเร็จตามเป้าหมาย 




ขณะที่จุดที่กรมทางหลวง ได้ส่งมอบให้กับรฟม. นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่า ในการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ได้ส่งมอบตั้งแต่ช่วงถนนติวานนท์ แจ้งวัฒนะ หลักสี่ รามอินทรา ตลอดสาย ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงถนนศรีนครินทร์ ประมาณ 2 กิโลเมตร โดยมีการมอบพื้นที่และมอบความรับผิดชอบระหว่างการก่อสร้างด้วย ซึ่งได้หารือกันถึงการปรับรูปแบบ เช่น ระยะห่าง ระหว่างตัวเสา เพื่อให้กรมทางหลวง คงระยะห่างจุดเลี้ยวรถไว้ได้ และปรับรูปแบบทางเท้าให้มีขนาดกว้างไม่เกิน 1.50 เมตร 




ด้านนายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า หลังจากนี้อีก 15 วัน จะมีการเข้าใช้พื้นที่เพื่อเริ่มงาน และดำเนินการก่อสร้างระยะเวลา 39 เดือน ส่วนแผนการเปิดให้บริการทั้ง 2 สถานี จะเปิดพร้อมกันในเดือนต.ค.2564 ส่วนอุบัติเหตุจากการก่อสร้าง ยอมรับว่า ในช่วงปี 2560 มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ปัจจุบันได้ปรับปรุงและเข้มงวดกวดขันเรื่องความปลอดภัย  จนทำให้ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเลย หากในอนาคต อย่างไรก็ตาม เกิดอุบัติเหตุขึ้นจะตัดแต้มกับบริษัทผู้รับเหมาหรือไม่ ก็จะต้องพิจารณาที่ความรุนแรง สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ และดูรายละเอียดอีกครั้ง


 


 


 


เกตุกนก ครองคุ้ม ผู้สื่อข่าว
ข่าวทั้งหมด

X