หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลท์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ได้ร่วมลงนามข้อตกลง กับประธานาธิบดีคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ นับเป็นข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ โดยเอกสารได้ระบุถึงรายละเอียดสำคัญดังนี้
1. เกาหลีเหนือ และสหรัฐ จะสถาปนาความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีใหม่ ขึ้นมา ตามความต้องการของประชาชนทั้งสองประเทศ เพื่อสันติภาพและความมั่งคั่ง
2. ทั้งสองประเทศจะพยายามร่วมกันสร้างระบบสันติภาพที่ยั่งยืนบนคาบสมุทรเกาหลี
3. เกาหลีเหนือจะปฎิบัติตามปฏิญญาปันมุนจอมที่ลงนามเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2018 มุ่งมั่นที่จะให้มีการปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีโดยสมบูรณ์
และ 4. สหรัฐและเกาหลีเหนือจะร่วมมือการกู้คืนซากศพของผู้ต้องขังรวมถึงเชลยศึก และจะมีส่งตัวกลุ่มผู้ที่ได้รับระบุตัวตนกลับประเทศทันที
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ประธานาธิบดีมุน แจอินของเกาหลีใต้ กล่าวว่ารัฐบาลเกาหลีใต้หวังว่าการประชุมจะประสบผลสำเร็จและจะทำให้สามารถปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ ก่อนหน้านี้ นายมุน ซึ่งร่วมประชุมสุดยอดกับนายคิม จองอึนในเดือนพฤษภาคม นับเป็นการปูทางไปสู่การประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือในสิงคโปร์ในวันนี้ ยิ้มแย้มและปรบมือพร้อมกับคณะรัฐมนตรีของเขาในทำเนียบประธานาธิบดีขณะชมการถ่ายทอดสดข่าวการประชุมสุดยอดระหว่างนายทรัมป์กับนายคิม
ด้านทำเนียบรัฐบาลเกาหลีใต้เปิดเผยว่านายมุนนอนไม่หลับเมื่อคืนนี้เนื่องจากรู้สึกตื่นเต้นกับการประชุมสุดยอดสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือในวันนีก่อนหน้านี้ ด้านบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์โคเรีย ไทม์ฉบับภาษาอังกฤษของเกาหลีใต้ ชื่นชมการประชุมครั้งนี้ว่าเป็นก้าวย่างไปสู่การยุติความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี หลังการแตกเป็นสองประเทศมาแล้วเกือบ 70 ปี จากอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างกัน นับตั้งแต่ยุคหลังสงครามเกาหลีระหว่างปี 2493-2496 เกาหลีใต้สามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นประเทศหนึ่งที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจมากที่สุด ขณะที่เกาหลีเหนือ ที่ถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติ ประสบปัญหาเศรษฐกิจซบเซามาตลอด แต่ก็เร่งเดินหน้าโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่อง สร้างความไม่สบายใจให้กับเพื่อนบ้านหลายประเทศ รวมถึงเกาหลีใต้และญี่ปุ่น