ทันสถานการณ์โลกวันนี้ติดตามความเคลื่อนไหวที่สิงคโปร์ก่อนการประชุมสุดยอดที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กับนายคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ซึ่งเดินทางถึงสิงคโปร์แล้วเมื่อวานนี้ โดยนายคิมเข้าพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ผู้นำสิงคโปร์ แล้วเมื่อวานนี้ และในวันนี้ประธานาธิบดี ทรัมป์จะพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี ลี
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะพบกับผู้นำเกาหลีเหนือขณะที่ทั้งคู่ยังอยู่ในตำแหน่ง โดยมีวาระสำคัญคืออาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ และสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีซึ่งสหรัฐฯ กำหนดให้ปลดนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ และเป็นการถาวร ขณะที่เกาหลีเหนือยังไม่ต้องการปลดนิวเคลียร์อย่างถาวร เพราะมีการพัฒนาโครงการอาวุธเสร็จสมบูรณ์แล้ว และต้องการให้รับรองสถานการณ์ความมั่นคงของเกาหลีเหนือด้วย
ก่อนออกเดินทาง ประธานาธิบดี ทรัมป์ เปิดเผยว่า เขาจะไม่ยอมเสียเวลาหากการเจรจาไม่บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ และอาจเชิญนายคิมเดินทางเยือนกรุงวอชิงตันหากการเจรจาครั้งนี้ดำเนินไปด้วยดี
สำหรับการเดินทางของนายคิม มีนายวิเวียน บาลากฤษนัน รัฐมนตรีการต่างประเทศสิงคโปร์ ให้การต้อนรับ ซึ่งหลังจากที่นายคิมเดินทางมาถึง เขาทวีตภาพขณะจับมือกับผู้นำเกาหลีเหนือ พร้อมข้อความยินดีต้อนรับประธานคิม จองอึน ที่เดินทางถึงสิงคโปร์
โดยในการสุนทรพจน์เนื่องในวันปีใหม่ นายคิมประกาศว่า เกาหลีเหนือเสร็จสิ้นการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์แล้วและจะหันไปมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจแทน หลังนั้นก็จัดการประชุมร่วมกับเกาหลีใต้หลายครั้ง และแจ้งกับสหรัฐฯ ว่า นายคิมต้องการพบหารือกับประธานาธิบดีสหรัฐ
ทั้งสองคนมีกำหนดพบกันในวันพรุ่งนี้เวลา 09.00 น. (08.00 น. ตามเวลาไทย) ที่โรงแรมคาเปลลาบนเกาะเซนโตซา ซึ่งเป็น 1 ในโรงแรมที่หรูหรา และมีค่าที่พักแพงที่สุด ในสิงคโปร์
ส่วนการประชุมจี7 ที่แคนาดา ซึ่งระหว่างการประชุมมีอุปสรรคปัญหา เพราะสมาชิก 6 ชาติต่างแสดงความไม่พอใจการที่สหรัฐใช้มาตรการภาษี ทั้งยังเป็นการประชุมที่จบด้วยความวุ่นวาย เมื่อประธานาธิบดี ทรัมป์ ออกจากการประชุมก่อนกำหนด ทั้งทวีตข้อความขณะที่อยู่บนเครื่องบินประจำตำแหน่ง ว่า เขามีคำสั่งให้ผู้แทนสหรัฐฯ ไม่รับรองแถลงการณ์ร่วม ทั้งเตรียมเรียกเก็บภาษีรถนำเข้าเพื่อตอบโต้คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด แห่งแคนาดา และการที่แคนาดาเรียกเก็บภาษีศุลกากรเกษตรกร แรงงาน และบริษัทอเมริกันในอัตราสูง นอกจากนี้ประธานาธิบดี ทรัมป์ยังระบุด้วยว่า นายกรัฐมนตรี ทรูโด มีความอ่อนน้อมถ่อมตัวในการประชุม G7 แต่เมื่อประธานาธิบดี ทรัมป์ออกจากการประชุม ก็กลับแถลงข่าวว่าจะไม่ยอมรับคำข่มขู่ โดยในคำแถลงของนายกรัฐมนตรี ทรูโด เขากล่าวว่า ประธานาธิบดี ทรัมป์ใช้ความมั่นคงของชาติมาเป็นข้ออ้างในการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเหล็กกล้าและอะลูมิเนียม ซึ่งเท่ากับเป็นการดูหมิ่นทหารผ่านศึกแคนาดาที่ร่วมรบกับสหรัฐฯ มาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ แคนาดาจะออกมาตรการตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้าอเมริกันในระดับเดียวกับที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากแคนาดา ส่วนสำนักนายกรัฐมนตรีแคนาดา ออกแถลงการณ์ระบุว่า นายกรัฐมนตรี แคนาดาเคยกล่าวถ้อยคำเหล่านี้กับประธานาธิบดี ทรัมป์ และสาธารณะมาก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตาม การประกาศขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้ายังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเยอรมนี แคนาดา และญี่ปุ่น ทั้งสร้างความกังวลในหลายประเทศที่เป็นฐานการผลิตชิ้นส่วน
สำนักข่าว เอเอฟพีรายงานว่า แม้ประธานาธิบดี สหรัฐฯจะออกจากการประชุมก่อนกำหนด แต่เขาลงนามในร่างแถลงการณ์ของการประชุมไปแล้ว แต่เมื่อมาอยู่ในเครื่องบินประจำตำแหน่ง เขาสั่งให้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ยังอยู่ในที่ประชุมไม่รับรองการประชุม เพราะไม่พอใจการแสดงความคิดเห็นของนายกรัฐมนตรี ทรูโด
ในส่วนของแถลงการณ์ร่วมระบุว่า ผู้นำจากประเทศสมาชิกมีความเห็นพ้องถึงความสำคัญของการค้าที่เสรี เป็นธรรม มีผลประโยชน์ร่วมกัน และเห็นถึงความสำคัญในการต่อต้านการกีดกันทางการค้า
นอกจากนี้แล้วยังมีประเด็นที่ประธานาธิบดี ทรัมป์ เสนอให้กลุ่มจี7 รับรัสเซียกลับมาเข้าร่วมกลุ่มอีกครั้ง ซึ่งเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เข้าร่วมการประชุมระดับสุดยอดขององค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ หรือเอสซีโอ ซึ่งประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน เป็นเจ้าภาพ ในการประชุมมีทั้งปากีสถานและอินเดียที่เข้าร่วมการประชุมเป็นครั้งแรก และมีชาติสมาชิกอีก 4 ประเทศที่ต่างเป็นอดีตสาธารณรัฐโซเวียต อาทิ คาซัคสถาน, คีร์กิซสถาน, ทาจิกิสถาน, และอุซเบกิสถาน ร่วมด้วยประธานาธิบดี ฮัสซัน โรฮานี แห่งอิหร่าน ที่เป็นสมาชิกผู้สังเกตการณ์ ของเอสซีโอ
ในการประชุม ประธานาธิบดีสี เตือนว่า การออกมาตรการเพียงฝ่ายเดียว, การกีดกันการค้า, และการแสดงต่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์ กำลังปรากฎตัวออกมาในรูปแบบใหม่ๆ จึงเรียกร้องให้ผู้นำประเทศต่างๆ เดินหน้าสู่ความร่วมมือกันที่ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับประโยชน์
ส่วนประธานาธิบดี ปูติน กล่าวว่าการที่ปากีสถานกับอินเดียเข้ามาเป็นสมาชิก ทำให้องค์การมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ส่วนที่มาเลเซีย นายกรัฐมนตรี มหาเธร์ โมฮัมหมัด แห่งมาเลเซีย เปิดเผยนโยบายการทำงานว่ารัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งกับความพยายามฟื้นฟูความมั่งคั่งแห่งชาติและกอบกู้เศรษฐกิจประเทศ และการที่เขาจะอยู่ในตำแหน่งเป็นเวลา 2 ปีไม่ถือเป็นกรอบเวลาในการทำงาน ทั้งนี้รัฐบาลที่เป็นกลุ่ม แนวร่วมพันธมิตรแห่งความหวัง หรือ พีเอช มีเป้าหมายแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดก่อน ทั้งการลดหนี้สาธารณะของมาเลเซีย และการรักษาความสัมพันธ์กับสถาบัน
....