การลงพื้นที่เพื่อติดตาม โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่จ.สกลนคร และจ.นครพนม ของนายจรัลธาดา กรรณสูต องคมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ(สำนักงานกปร.) วันนี้เป็นวันแรกของการลงพื้นในช่วงเช้า องคมนตรีได้เดินทางมายังโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.พังขว้าง อ.เมือง จ.สกลนคร พร้อมกล่าวกับประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ว่า หลังพายุโซนร้อนเซินกาได้เข้าพัดถล่มจ.สกลนคร เมื่อช่วงกลางเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ทำให้อ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้นได้รับความเสียหาย เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ส่วนราชการรีบดำเนินการแก้ไขอ่างเก็บน้ำดังกล่าว และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้นไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2560 พร้อมทั้งมีรับสั่งให้ตัวเองลงพื้นที่เพื่อติดตามการแก้ไขเนื่องจากทรงเป็นห่วงพสกนิกร
นอกจากนั้น ในพื้นที่จ.สกลนคร ยังได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและพายุในฤดูฝนบ่อยครั้ง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีรับสั่งให้ติดตามเฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำต่างๆทั้งในจ.สกลนครและอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศว่า ให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ หากอ่างเก็บน้ำใดมีปัญหา มีรับสั่งให้ส่วนราชการรีบแก้ไขและจะต้องไม่เกิดปัญหาเหมือนอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้นอีก ซึ่งถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ทุกคน
ภายหลังกล่าวกับประชาชนแล้ว นายจรัลธาดาได้พบปะสอบถามความเป็นอยู่ของประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ และได้รับฟังบรรยายสรุปความคืบหน้าโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้นอันเนื่องมาจากพระราชดำริจากนาย ประพิศ จันทร์มา รองอธิบดีกรมชลประทานฝ่ายก่อสร้าง พร้อมชมนิทรรศการโครงการด้วย
โดยนายประพิศล่าวว่า กรมชลประทานจึงวางแผนดำเนินการซ่อมแซม อ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้น เป็น 2 ระยะ ระยะสั้นคือ การกักเก็บน้ำ ซึ่งดำเนินการเสร็จไปแวเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2560 ส่วนระยะยาว มีการสร้างทำนบดินใหม่ให้ระบายน้ำได้ 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และปรับสร้างท่อระบายน้ำให้ระบายได้ 13 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
นอกจากนั้นยังทำการปรับปรุงดินบริเวณอ่างเพื่อทำการเพิ่มความจุให้อ่างอีก 1 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้หลังการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้นแล้วเสร็จจะสามารถกักเก็บน้ำได้ 3.4 ล้านลูกบาศก์เมตร และจะสามารถส่งน้ำสนับสนุนพื้นที่การเกษตรในฤดูแล้งได้ 3,000 ไร่ และฤดูฝนอีก 1,000 ไร่
โดยปัจจุบันดำเนินการต่างๆแล้วเสร็จไปร้อยละ 70 คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในเดือนกันยายนปีนี้ นอกจากนี้กรมชลประทานยังมีแผนปรับปรุงอ่างเก็บน้ำที่มีปัญหาเพื่อตอบสนองต่อพระราชดำริอีก 22 แห่ง โดย 15 แห่งได้รับงบประมาณแล้ว ส่วนอีก 7 แห่งเพิ่งออกแบบเสร็จ และจะของบประมาณต่อไป