การจัดกิจกรรมด้านการแข่งขันกีฬาของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ที่มีการจัดต่อเนื่องโดยเฉพาะการแข่งขันเปตอง วันนี้มีการเปิดการแข่งขันท่าเรือโอเพ่นครั้งที่ 31 ที่สนามกีฬาเปตอง การท่าเรือแห่งประเทศไทย เรือโทกมลศักดิ์ พรหมประยูร รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย สายบริหารสินทรัพย์และพัฒนาธุรกิจ ในฐานะประธานการจัดการแข่งขัน เปิดเผยว่า การจัดการแข่งขันกีฬาเปตอง เพื่อตอบแทนสิ่งดีๆคืนให้สังคมและประชาชน เป็นหนึ่งในโครงการซีเอสอาร์ที่จัดมาอย่างต่อเนื่อง จะนำรายได้โดยไม่หักค่าใช้จ่าย ไปจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลน เมื่อปีที่แล้ว นำไปจัดซื้อเครื่องกระตุ้นหัวใจให้สาธารณสุขคลองเตย ส่วนปีนี้พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี ในฐานะประธานเปิดการแข่งขัน แนะนำโรงพยาบาลแต่ละแห่งมาให้ ซึ่งกำลังจะนำเข้าคณะกรรมการไปพิจารณา เบื้องต้นกำหนดไว้ 3 ที่ คือที่จ.พัทลุง,จ.ตรัง และจ.ศรีสะเกษ คาดว่าปีนี้ จะมีรายได้นำไปจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ประมาณ 300,000 บาท โดยกทท.จะร่วมสมทบทุนอีกส่วนหนึ่งด้วย นอกจาก จัดซื้อเครื่องมือแพทย์แล้ว กทท.ได้เข้าไปสร้างสนามเปตองให้โรงเรียนต่างๆตามต่างจังหวัด พร้อมสอนวิธีการเล่นที่ถูกต้องให้นักเรียน เพื่อเป็นการสืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่า ที่ทรงทอดพระเนตรเห็นว่ากีฬาเปตองเป็นกีฬาที่เหมาะกับคนทุกวัย เล่นได้ง่าย และต้นทุนการเล่นน้อย พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า การแข่งเปตอง ท่าเรือโอเพ่น เป็นเพียงการแข่งรายการเดียวของประเทศที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากทั้ง 3 พระองค์ในการพระราชทานถ้วยรางวัล ตัวเองขอชื่นชมและสนับสนุนการจัดแข่งขัน
นอกจากการจัดแข่งเปตอง เรือโทกมลศักดิ์ ระบุว่า กทท.ยังมีกิจกรรมซีเอสอาร์อื่นๆที่ตอบแทนสังคมด้วย เช่น การสร้างฝายประชารัฐ 150 ฝายให้เสร็จภายในเวลา 5 ปี เพื่อเป็นที่กักเก็บน้ำให้ประชาชน, การปลูกป่าฝั่งบางกระเจ้า และการจัดอบรมสร้างอาชีพเสริมโดยผู้เชี่ยวชาญให้แก่ประชาชนรอบพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มและห่างไกลจากยาเสพติด รวมถึงการจัดสรรพื้นที่ค้าขายให้กับชุมชนที่รุกพื้นที่กทท. ซึ่งผลตอบรับทั้งหมดเป็นไปในทางที่ดี
สำหรับการแข่งขันเปตอง โอเพ่น ครั้งที่ 31 เริ่มจากการจับสลากประกบคู่ จะแข่งตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันพรุ่งนี้ แบ่งการแข่งขันเป็น 6 ประเภท ได้แก่ ประเภททีมชาย 3 คน, ทีมหญิง 3 คน, ทีมอาวุโสชายอายุมากกว่า 55 ปี, ทีมอาวุโสหญิงอายุมากกว่า 50 ปี, ทีมเยาวชนอายุไม่เกิน 17 ปี และทีมเยาวชนอายุไม่เกิน 13 ปี
ทั้งนี้ คาดว่า ปีนี้จะมีทีมมาสมัครไม่น้อยกว่า 200 ทีม โดยทีมที่ชนะในประเภทชายจะได้ถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จย่า พร้อมเงินรางวัล 20,000 บาท ทีมชนะเลิศประเภทหญิงจะได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พร้อมเงินรางวัล 10,000 บาท และทีมเยาวชนจะได้ถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัล 5,000 บาท
ผู้สื่อข่าว:ธีรวัฒน์ สิทธิเกรียงไกร