ข่าวเที่ยงครึ่งวัน 12.30 น.
++++วันนี้ มีประชุมผู้บัญชาเหล่าทัพ พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ให้กล่าวถึงงการดูแลสถานการณ์การทางการเมืองที่เริ่มมีความเคลื่อนไหวจากฝ่ายต่างๆ เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ว่า คงจะดูแลตามขอบเขตและอำนาจหน้าที่ ซึ่งหน่วยงานต่างๆได้เตรียมแผนการรองรับไว้แล้ว โดยเฉพาะการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่ประกาศอาจจะมีการชุมนุมปักหลักค้างคืนในช่วงครบรอบ 4 ปีการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นั้น เราคงใช้กฎหมายเป็นหลัก พร้อมด้วยการพูดจาหารือทำความเข้าใจ ถึงขั้นตอนในการดำเนินการทั้งนี้ตนคิดว่า ที่ผ่านมาคงได้มีการพูดคุยกันไว้บ้างแล้ว
++++ส่วนบทบาทของกองทัพหลังนายกรัฐมนตรีมีท่าทีจะเล่นการเมือง เพราะมีการดึงตัวอดีตนักการเมืองเข้ามาร่วมทำงานกับรัฐบาล กองทัพยังคงสนับสนุนอยู่หรือไม่ พล.อ.ธารไชยยันต์ กล่าวว่า เรายังสนับสนุนรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลอยู่ สำหรับหลังเกษียณจะเห็นผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดนี้ร่วมพรรคทหารหรือไม่ทุกอย่างเป็นเรื่องของอนาคต แต่ส่วนในความคิดส่วนตัว คงไม่เกี่ยว ซึ่งตนก็คงจะมีหน้าที่บทบาทในเรื่องของสนช แค่นั้น พล.อ.ธารไชยยันต์ กล่าวว่า การปฏิบัติงานของทหาร สนับสนุนงานตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งปกติจะมีแผนล่วงหน้าที่ชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนที่ฝ่ายการเมืองมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ ใช้กองทัพเป็นเครื่องมือในการหาเสียงนั้น คิดว่าแล้วแต่คนมอง
+++ การวิพากษ์วิจารณ์การดึงตัว หรือดูดนักการเมืองของฝ่ายต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมเลือกตั้ง นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตประธานกรรมาธิการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องปกติของการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีการออกแบบรูปแบบการเลือกตั้งไว้เป็นกาบัตรใบเดียว และมีการออกกฎหมายคุมนโยบายพรรคห้ามประชานิยม ก็ย่อมจำเป็นต้องใช้ตัวบุคคลที่มีความคุ้นเคยประชาชนในพื้นที่ หรืออดีต ส.ส.เพื่อทำให้ได้คะแนนมากที่สุด ซึ่งทุกพรรคก็ล้วนใช้วิธีการดูดตัวบุคคลไว้ทั้งสิ้น ขณะนี้ ยัไม่ถือว่าการปฏิรูปการเมืองล้มเหลว เพราะการปฏิรูปจะเห็นผลได้จริงหรือไม่ต้องรอหลังการเลือกตั้ง ว่าจะได้นักการเมืองมีคุณภาพมากขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปจากอดีตมากน้อยแค่ไหนต่างหาก
+++นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รักษาการรองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดผลิตรถยนต์ในเดือนมี.ค.2561 มีจำนวน 195,257 คัน ซึ่งเป็นยอดการผลิตที่สูดสุดในรอบ 56 เดือน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 9.21 ส่งผลให้ยอดรวมการผลิตรถยนต์ในไตรมาส 1 มีจำนวนทั้งสิ้น 539,690 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 11.15 แบ่งการผลิตเพื่อส่งออกของเดือนมี.ค.จำนวน 103,940 คัน ลดจากปีก่อนร้อยละ 0.37 ส่วนยอดผลิตเพื่อส่งออกในไตรมาส 1 มีจำนวน 300,717 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 4.31 ส่วนการผลิตเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ ในเดือนมี.ค. มีจำนวน 91,317 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 22.62 ส่งผลให้ยอดรวมไตรมาส 1 มีจำนวน 238,973 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ21.15
+++ด้านการส่งออกในไตรมาส 1 จะขยายตัว แต่ยังมีความเป็นห่วงอยู่บ้าง เนื่องจากในเดือนมี.ค.มีหลายตลาดที่ลดลง เช่น เอเชีย ลดลง ร้อยละ7.24 ยุโรป ลดลงร้อยละ 7.82 อเมริกาเหนือ ลดลง ร้อยละ9.47 โดยรถยนต์ที่ส่งออกลดลง ส่วนใหญ่จะเป็นอีโคคาร์ เพราะยังไม่มีรถรุ่นใหม่ๆออกมาแนะนำ ส่วนตลาดหลักที่มีขนาดใหญ่ยังส่งออกเพิ่มขึ้นมาก เช่น ออสเตรเลีย เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ20.11 และยังเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย และตะวันออกกลาง ผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปัญหาขาดสภาพคล่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมทั้งปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทที่ส่งผลกระทบต่อการบริหารต้นทุนของผู้ประกอบการส่งออก
+++นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เป็นประธานมอบเงินค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา แก่ทายาทของนายจรูญ มณีพันธ์ อายุ 82 ปี หรือคุณตาขับรถซาเล้ง(ผู้เสียหาย) ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 จากกรณีที่นายจรูญ ถูกนายนราธร โสตติยัง อายุ 21 ปี(ผู้ต้องหา)ทำร้ายร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตในเวลา รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 115,270 บาท โดยมี นางฉลวย จริตเอก ภรรยา และ บุตรของนายจรูญ มารับเงินช่วยเหลือจากระทรวงฯ สำหรับคดีของคุณตาจรูญ ทราบว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการเตรียมสรุปสำนวนเพื่อส่งฟ้องคดีกับผู้ต้องหาแล้ว แต่หากครอบครัวผู้เสียหายมีข้อติดขัดหรือต้องการความช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรมก็พร้อม เนื่องจากคดีนี้สามารถเรียกร้องค่าชดเชยความเสียหายในทางแพ่งจากจำเลยได้ ซึงได้มอบหมายให้ทางนิติกรประจำกระทรวงติดตามความคืบหน้าของคดีอย่างใกล้ชิด