ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสภาคองเกรสของสหรัฐฯ โดยคำกล่าวที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดก็คือการประณามนโยบายชาตินิยม และการแยกตัวว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่งคั่งของโลก ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญในการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ นอกจากนี้แล้ว ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ยังให้ความสำคัญกับการค้าโลก อิหร่านและสภาพแวดล้อม ที่แตกต่างจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดเผยว่าความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศไม่มีความแตกร้าว แต่จากคำกล่าวของประธานาธิบดีฝรั่งเศส ชี้ให้เห็นว่าทั้ง 2 ประเทศมีความแตกต่างกัน
ประธานาธิบดีฝรั่งเศสกล่าวว่า การแยกตัวและนโยบายชาตินิยมอาจเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเมื่อต้องเผชิญกับความกลัว ซึ่งเขายกคำพูดของนายแฟรงคลิน ดี รูสเวลล์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่32 ที่ว่า “สิ่งเดียวที่เราต้องกลัวคือความกลัวนั่นเอง” (the only thing we have to fear is fear itself) เมื่อครั้งที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งในปี 2476 และประธานาธิบดีมาครงนำมากล่าวอีกครั้งในการประชุมสภาคองเกรสในวันนี้ ทำให้ได้รับเสียงปรบมือยาวนาน
ประธานาธิบดีมาครงกล่าวด้วยว่า การปิดกั้นทั้งที่โลกมีการเปลี่ยนแปลง จะทำให้พลเมืองเกิดความสับสนวุ่นวาย นอกจากนี้ สงครามการค้าก็ยังไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องเพื่อแก้ไขปัญหาดุลการค้า เพราะมีแต่จะทำลายระบบการจ้างงานและทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้น ทั้งควรให้มีการเจรจาต่อรองผ่านองค์การการค้าโลกหรือ ดับเบิ้ลยูทีโอ ส่วนกรณีอิหร่าน เขากล่าวว่า ฝรั่งเศสจะไม่ละทิ้งข้อตกลงด้านอาวุธนิวเคลียร์กับอิหร่าน ที่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มประเทศมหาอำนาจ แม้จะยอมรับว่าข้อตกลงนี้อาจไม่สามารถตอบสนองความกังวลทั้งหมด แต่ก็ไม่ควรละทิ้งไปโดยที่ไม่สามารถร่างข้อตกลงที่ดีกว่า และในประเด็นสิ่งแวดล้อม เขากล่าวว่าการที่ยังไม่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ ก็คือการฆ่าโลกที่เราอาศัยอยู่ และขอให้ทุกคนร่วมมือกันปกป้องเพราะไม่มีโลกอื่นอีก (there is no Planet B)
...
F163