กรณีการลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือเอ็มโอยู 4 ฉบับ ระหว่างหน่วยงานภาครัฐของไทยกับกลุ่มบริษัท อาลีบาบา (Alibaba) ประกอบด้วย 1) ความร่วมมือในด้านการค้าการลงทุนและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ระหว่างสานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียง เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) และอาลีบาบา
2) ความร่วมมือด้านการลงทุนสมาร์ทดิจิทัลฮับ (Smart Digital Hub) ในพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ระหว่างสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ พิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) กรมศุลกากร และ บริษัท Cainiao Smart Logistics Network Hong Kong Limited
3) ความร่วมมือด้านการพัฒนาเอสเอ็มอี และบุคลากรด้านดิจิทัล ระหว่างกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และวิทยาลัยธุรกิจอาลีบาบา หรือ Alibaba Business School (ABS)
4) ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวผ่านระบบดิจิทัลและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และอาลีบาบา เพื่อจัดทำไทยแลนด์ทัวริสต์ แพลตฟอร์ม สำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่า การลงนามอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทยทั้งในเรื่องโอกาสในการแข่งขันทางการค้า และการตลาด รวมถึงเรื่องของข้อมูลของบริษัทนั้น
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ความร่วมมือที่รัฐบาลไทยทาข้อตกลงกับอาลีบาบามุ่งเน้นการพัฒนาเอสเอ็มอีทุกระดับ รวมถึงกลุ่มวิสาหกิจชุมชนและกลุ่มธุรกิจเกษตรทั่วประเทศให้มีความรู้และทักษะทางด้านดิจิทัลและ อีคอมเมิร์ซสามารถเข้าถึงตลาดออนไลน์สู่ประเทศจีนและตลาดสากล โดยอาลีบาบาจะทำหน้าที่อบรมผู้ประกอบการไทยเรื่องการตลาดออนไลน์ เพื่อให้สามารถเลือกใช้ผู้บริการ (Service Provider) ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงระบบด้านโลจิสติกส์โดยอาศัยเทคโนโลยีของอาลีบาบา เพื่อให้สามารถส่งสินค้าไปยังตลาดจีนและตลาดสากลได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบอีคอมเมิร์ซ และโลจิสติกส์ จะใช้กรณีของอาลีบาบาเป็นภาคปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practice) ในการปรับปรุงและพัฒนาขีดความสามารถของ ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ และโลจิสติกส์ไทยอย่างต่อเนื่องมีคุณภาพและได้มาตรฐาน
ส่วนความกังวลที่ว่าอาลีบาบาจะได้ฐานข้อมูล (ดาต้าเบส) ของไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคนั้น ขอชี้แจงว่าไม่มีประเด็นใดที่จะนำออกซึ่งข้อมูลในระบบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะข้อมูลของผู้ประกอบการไทย โดยหน่วยงานต่าง ๆ ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการปี พ.ศ.2540 อย่างเคร่งครัด ซึ่งหากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายใดเลือกที่จะทำตลาดออนไลน์กับอาลีบาบาก็จะได้ประโยชน์จากข้อมูลการวิเคราะห์ตลาด เป้าหมายผ่านการวิเคราะห์จากระบบฐานข้อมูลของอาลีบาบาด้วย และการเข้ามาของนายแจ็ค หม่า ประธานของอาลีบาบา ที่นักธุรกิจไทยเกิดความวิตกกังวลนั้น ขอชี้แจงว่า ตลาดการค้าออนไลน์เป็นตลาดการค้าเสรี แม้ในปัจจุบันผู้บริโภคคนไทยก็สามารถเลือกซื้อสินค้าจากประเทศจีนผ่านทางเว็บไซต์ออนไลน์ได้ ความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยสามารถขายสินค้าได้มากขึ้น ช่วยให้ตลาดจีนและผู้บริโภคชาวจีนที่อยู่ในระบบออนไลน์ ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 500 ล้านคน และตลาดของจีนได้รับรู้ถึงศักยภาพของสินค้าและบริการของไทย ที่สาคัญยุทธศาสตร์ของรัฐบาลจีนได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่เน้นการส่งออกไปเป็นเน้นการนำเข้าสินค้าและบริการจากต่างประเทศมากขึ้น โดยความร่วมมือของรัฐบาลไทยกับอาลีบาบา ไม่ได้เน้นการนำเข้าสินค้าจากจีนมาบริโภคในประเทศไทย แต่เป็นการสร้างเครื่องมือเพื่อเพิ่มโอกาสให้สินค้าที่มีคุณภาพของไทยสามารถเข้าไปขายในประเทศจีน และประเทศ เพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) ได้มากขึ้น
….
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรมกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม