ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ทั่วประเทศว่า สหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส ได้ประกาศปฏิบัติการร่วมทางทหารโจมตีซีเรีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องปรามรัฐบาลซีเรียในการใช้อาวุธเคมีโจมตีประชาชนนอกกรุงดามัสกัส กระทั่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 40 คน ปฏิบัติการร่วมของกองกำลังพันธมิตรเริ่มขึ้นเพียงไม่นานหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มการแถลง โดยระบุว่า ได้สั่งการให้กองกำลังสหรัฐฯ ปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธเคมีอย่างแม่นยำ และถือโอกาสนี้ขอบคุณกองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษที่ร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย
นอกจากนี้ ยังเตือนรัสเซียและอิหร่าน มิให้ระดมกำลังให้ความช่วยเหลือซีเรีย ซึ่งเป็นพันธมิตร พร้อมกับระบุว่า รัสเซียต้องตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกับประเทศอารยธรรมเป็นกองกำลังรักษาสันติภาพและเสถียรภาพหรือไม่
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย และอิหร่าน จะต้องรับผิดชอบกับการสนับสนุนประธานาธิบดีบาชาร์ อัลอะซัด ผู้นำซีเรีย ทั้งนี้ ภายหลังประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศปฏิบัติการร่วมทางทหารโจมตีซีเรีย ก็ได้เกิดระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวต่อเนื่องในกรุงดามัสกัส นครหลวงซีเรีย เมื่อเวลาประมาณ 04.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณ 08.00 น.ตามเวลาประเทศไทย ตามด้วยเสียงเครื่องบิน และกลุ่มควันจากทางทิศเหนือและทิศตะวันออกของเมืองหลวง โดยปฏิบัติการร่วมมุ่งโจมตีเป้าหมาย ประกอบด้วย ฐานทัพหลายแห่งในซีเรีย กองกำลังพิทักษ์สาธารณรัฐของซีเรีย กองทหารภาคที่ 4 และศูนย์วิจัยเคมีทั้งในและนอกเมืองหลวง ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ ตลอดจนฐานที่มั่นที่มีความเชื่อมโยงกับสิ่งอำนวยความสะดวกอาวุธเคมีของรัฐบาลซีเรีย
ขณะที่ สถานีโทรทัศน์ของทางการซีเรีย รายงานว่า กองกำลังป้องกันภัยทางอากาศของซีเรีย ได้พยายามสกัดขัดขวางการรุกรานของทั้งสามประเทศ ข้อมูลในเบื้องต้น ระบุว่า ศูนย์วิจัยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงดามัสกัสถูกโจมตี
ด้านนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ แถลงว่า ไม่มีทางเลือก นอกจากการใช้กำลังกับผู้นำซีเรีย และตกลงกับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส แล้วว่า จะทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกัน และอังกฤษได้ประกาศเตือนพลเมืองในตะวันออกกลางให้เพิ่มความระมัดระวัง เนื่องจาก คาดว่า อาจมีการชุมนุมประท้วงในหลายประเทศในภูมิภาค
ทีมต่างประเทศ
CR:AP