เกิดเหตุปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงชาวปาเลสไตน์ราว 10,000 คนกับกองทัพอิสราเอลเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน บริเวณชายแดนฉนวนกาซากับอิสราเอล ท่ามกลางความรุนแรง ซึ่งกองทัพอิสราเอลได้สังหารชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้ว 34 คน และบาดเจ็บกว่า 500 คน ในจำนวนนี้รวมถึงผู้สื่อข่าว 2 คน โดยกลุ่มผู้ประท้วงชาวปาเลสไตน์ ซึ่งมีตัวเลขน้อยกว่าหลายสัปดาห์ก่อน ได้ปะทะกับทหารอิสราเอลในหลายจุด ขณะที่ทหารใช้ทั้งแก๊สน้ำตาและเผายางรถยนต์ เพื่อทำให้เกิดกลุ่มควันดำในบางพื้นที่ เนื่องจากกลุ่มผู้ประท้วงพยายามรื้อรั้วลวดหนาม และใช้ทั้งประทัดและอุปกรณ์ระเบิด กองทัพจึงสลายการจลาจลที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเผยแพร่ภาพผู้ก่อการร้ายที่ใช้วัตถุต้องสงสัย คาดว่า จะเป็นอุปกรณ์ระเบิด แต่ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ระบุว่า เป็นประทัดไฟ ไม่ใช่ระเบิด นอกจากนี้ ผู้ประท้วงยังได้เผาธงชาติอิสราเอล รวมทั้งภาพนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ และเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ซึ่งกลุ่มผู้ประท้วง มองว่า ให้ความร่วมมือกับอิสราเอล ทั้งนี้ การประท้วงตามบริเวณชายแดนอิสราเอลมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 30 มี.ค. เพื่อท้าทายอิสราเอล ซึ่งใช้กระสุนจริงยิงใส่กลุ่มผู้ประท้วง แต่อิสราเอล ยืนยันการยิงเป็นไปตามกฎระเบียบของการเกี่ยวพันและก็จะไม่เปลี่ยนแปลง
ขณะที่ รมว.กลาโหมของอิสราเอล เปิดเผยว่า เหตุจลาจลได้บรรเทาลงแล้ว และน่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายเริ่มเข้าใจการแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ประท้วงเปิดเผยว่า การประท้วงจะมีขึ้นเป็นเวลา 6 สัปดาห์ เพื่อเรียกร้องให้ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์คืนสู่บ้านเกิด ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตยึดครองของอิสราเอล
ด้านสหภาพยุโรปและนายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ได้เรียกร้องให้มีการสอบสวนเหตุปะทะกันที่เกิดขึ้น ขณะที่องค์การนิรโทษกรรมเรียกร้องให้ทางการอิสราเอลยุติการใช้กำลังเกินกว่าเหตุเพื่อปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา
ทีมต่างประเทศ
CR:AFP