พาณิชย์เตรียมพร้อมสงครามการค้า/ธ.โลกคาดเศรษฐกิจไทยขยายตัวเกินคาด/ศธ.ส่งชื่อทุุจริตกองทุนเสมาฯให้ป.ป.ท.

10 เมษายน 2561, 08:14น.


เศรษฐกิจวันนี้ยังต้องติดตามทิศทางการลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ ที่สืบเนื่องจากการทำสงครามกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน  วันนี้เวลา 09.30 น. สมาคมตราสารหนี้ไทยจะแถลงตัวการลงทุนไตรมาสแรกและแนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างประเทศ และในเวลา 13.30 น. สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน จะบรรยายเรื่องทิศทางตลาดหุ้นไทยภายใต้สงครามการค้าโลกและสงครามธุรกิจธนาคารไทย



นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากรายงานของธนาคารโลก โดยนายอูลริค ซาเกา ผู้อำนวยการธนาคารโลก ประจำประเทศไทย มาเลเซีย และความร่วมมือในภูมิภาค เปิดเผยรายงานตามติดเศรษฐกิจไทย:ไขปริศนานวัตกรรม โดยระบุว่า ในปี 2561 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะขยายตัวร้อยละ 4.1 ซึ่งเป็นการขยายตัวเกินกว่าร้อยละ 4 ครั้งแรกในรอบ 6 ปีนับจากปี 2555 เนื่องจากการส่งออกและนำเข้าที่ขยายตัวสูงขึ้น สะท้อนว่าการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งมีการปฏิรูปกฎระเบียบและเสถียรภาพด้านนโยบาย เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และแนะนำการปฏิรูป 3 ด้านอย่างจริงจัง คือเรื่องการศึกษาและทักษะ, การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ และ การเพิ่มการแข่งขันโดยเฉพาะในภาคบริการ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นนวัตกรรมและยกระดับประเทศไทย



เมื่อวานนี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ประชุมร่วมกับนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการคณะกรรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และนายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อประเมินสงครามการค้า และมอบให้กระทรวงพาณิชย์ศึกษาผลกระทบต่อการค้าต่อประเทศไทย แต่ไม่ได้หารือเรื่องที่สหรัฐฯ จับตาการเคลื่อนไหวค่าเงินของไทย เนื่องจาก ธปท.คอยดูแลอยู่แล้ว และสหรัฐก็สามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว



นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนแรก ของปีงบประมาณ 2561 (เดือนตุลาคม 2560-เดือนมีนาคม 2561) สคร. จัดเก็บรายได้จากรัฐวิสาหกิจจำนวน 68,147 ล้าน 2 แสนบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายการจัดเก็บรายได้แผ่นดินสะสมจำนวน 10,168 ล้าน 8 แสน 5 หมื่นบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 17.54 ของเป้าหมายรายได้แผ่นดินสะสม (57,978 ล้าน 3 แสน 5 หมื่นบาท)



รัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้สะสมสูงสุด 5 ลำดับแรกได้แก่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 19,565 ล้านบาท การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 13,384 ล้านบาท บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) 8,600 ล้านบาท ธนาคารออมสิน 6,525 ล้านบาทและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 5,692 ล้านบาทขณะที่รัฐวิสาหกิจที่เหลือส่งรายได้ 14,380 ล้านบาท โดยรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจมีการนำส่งที่สูงกว่าเป้าหมายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2561 เนื่องจากรัฐวิสาหกิจมีผลประกอบการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสามารถรับมือต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันได้อย่างรวดเร็ว



จากภาวะค่าแรงที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับเทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่มีราคาถูกลง ทำให้ภาคธุรกิจหันมาใช้หุ่นยนต์ในภาคการผลิตของไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า มีความเสี่ยงที่แรงงานไทย 3 ล้านคน จากแรงงานทั้งหมด 6 ล้านคนจะถูก แทนที่ด้วยหุ่นยนต์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งยังมีเวลาในการเตรียมพร้อมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน        



นางสาวนันทนิตย์ ทองศรี เศรษฐกร ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีหุ่นยนต์ที่ใช้ในภาคการผลิตมากเป็นอันดับ 10 ของโลก ซึ่งเป็นแรงงานในลักษณะซ้ำๆมีแบบแผน และมีรูปแบบการตัดสินใจที่แน่นอน เช่น แรงงานในสายการผลิต หรือพนักงานคิดเงิน ซึ่งยังส่งผลให้ผู้ที่จบการศึกษาใช้เวลาในการหางานนานขึ้น โดยเฉพาะการหางานในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิต สวนทางกับทิศทางของการส่งออกและการผลิตที่ปรับตัวดีขึ้น และจะอยู่ใน 3 อุตสาหกรรมหลัก คือ อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมยางและพลาสติก และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีการจ่ายค่าแรงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งภาคอุตสาหกรรม ประกอบกับความสามารถของหุ่นยนต์เหมาะกับงานในกลุ่มนี้ที่ต้องใช้ทั้งความแม่นยำ ความเสถียร รวมถึงเป็นงานที่มีความอันตราย เช่นงานเชื่อมเหล็ก ขึ้นรูปพลาสติก และงานที่มีการสัมผัสกับสารเคมี



เช้าวันนี้ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำ Flow chart แผนภาพ แสดงลำดับขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อหารือภาพรวมของการบูรณาการการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะเพื่อให้การแก้ไขปัญหามีประสิทธิภาพตามนโยบายรัฐบาล โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 27 หน่วยงานเข้าร่วมการประชุมที่อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ



ผู้บริหารกรม สบส.นำทีมตรวจความพร้อมสถานพยาบาลเอกชน ในการให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉิน ช่วง 7 วันอันตรายเทศกาลสงกรานต์ ที่โรงพยาบาลเปาโล รังสิต อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี



นายวิชัย ไชยมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (รองเลขาธิการ ป.ป.ส.) ร่วมกับ กรมการขนส่งทางบก ทหาร ตำรวจ  กรุงเทพมหานคร และบริษัทขนส่ง จำกัด จัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2561 ภายใต้คำขวัญ “สงกรานต์ กลับบ้านปลอดภัย ไร้ยาเสพติด และแอลกอฮอล์” ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (หมอชิต)



วันนี้ยังต้องติดตามความคืบหน้าการตรวจสอบทุจริตกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเมื่อวานนี้ นายอรรถพล ตรึกตรอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงการทุจริตเงินกองทุนเสมาฯ เปิดเผยว่า การสืบเส้นทางบัญชีเงินกองทุนเสมาฯตั้งแต่สิงหาคม ปี 2548 ถึงปัจจุบันมีการโอนเงินไปใน 1,049 บัญชี เป็นจำนวนเงินมากกว่า 230 ล้านบาท ซึ่งพบความผิดปกติ 471 บัญชี เป็นเงิน 96 ล้านบาท และตอนนี้สืบรายชื่อบัญชีได้หมดแล้ว



นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวว่า รายชื่อบัญชีที่มีปัญหา มีเจ้าหน้าที่และข้าราชการจากหลายหน่วยงาน โดยส่วนหนึ่งต้องมอบให้สำนักคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ไปสอบสวนต่อ ทั้งเปิดเผยด้วยว่า มีการทุจริตมาตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งไม่เคยมีการตรวจสอบมาก่อน การตรวจสอบในครั้งนี้จึงถือว่ามีความก้าวหน้าค่อนข้างมาก โดยรายชื่อที่จะแจ้งความและส่งร้องทุกข์แก่ ป.ป.ท.ในวันนี้ มีทั้งหมด 44 รายแบ่งเป็น 22 รายที่แจ้งความและร้องทุกข์ไปก่อนหน้านี้ และพบเพิ่มอีกจำนวน 16 ราย



ข่าวทั้งหมด

X