+++การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2558 พล.ท.ชาตอุดม ติตถะสิริ โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2558 สรุปว่า กมธ.ปรับลดงบจากทุกกระทรวง 16,823 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ วงเงิน 2,575,000 ล้านล้านบาท โดยจะนำงบประมาณที่ปรับลดบรรจุไว้ในส่วนงบกลาง เพื่อนำมาใช้จ่ายในรายการสำรองจ่ายในกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็นและเพิ่มเติมสำหรับส่วนราชการที่ได้รับการจัดสรรงบไม่เพียงพอ รวมถึงหน่วยงานรัฐที่ไม่สังกัดกระทรวง กระทรวงที่ถูกปรับลดงบประมาณมากที่สุดคือ กระทรวงคมนาคม
+++ขณะเดียวกัน ได้ตัดงบประมาณในส่วนค่าใช้จ่ายเงินค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ หรือโบนัสข้าราชการในปี 2557 ออกทั้งหมดวงเงิน 5,000 ล้านบาทที่ต้องจ่ายปลายปี 2557 ไปไว้ในงบกลาง เนื่องจากคณะกรรมาธิการฯพิจารณาเห็นว่า หลักเกณฑ์การจ่ายเงินโบนัสข้าราชการ ไม่แน่นอนและยังไม่มีมาตรฐานเพียงพอ การจ่ายโบนัสแต่ละปีไม่เหมือนกัน จึงมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ไปพิจารณาหลักเกณฑ์ใหม่ให้เรียบร้อย มีมาตรการที่เหมาะสมและเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)ให้พิจารณาต่อไป ถ้ารัฐบาลเห็นชอบ ก็นำงบกลางกลับมาดำเนินการจ่ายโบนัสให้ข้าราชการ พล.ท.ชาติอุดม กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวละเอียดอ่อน อาจมีผลต่อขวัญกำลังใจข้าราชการ แต่หลักเกณฑ์ของ กพร.ไม่มีความแน่นอน แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ก็มีนโยบายให้ปรับเพิ่มค่าตอบแทน และเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยในปี2558 ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาของก.พ.ร
+++นอกจากนี้ ปรับลดงบประมาณการเดินทางไปดูงานต่างประเทศ การจ้างที่ปรึกษาและการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานราชการรวมทั้งสิ้น จำนวน 200 ล้านบาท
+++เช้านี้ กมธ.จะพิจารณาคำแปรญัตติต่างๆ เพื่อสรุปข้อสังเกต ข้อเสนอแนะ เพื่อจัดทำเป็นรายงานก่อนส่งไปยังสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา จัดพิมพ์และส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)พร้อมจะนำเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 และ 3 ในวันที่ 17 กันยายน ตามกรอบเวลาต่อไป
+++เรื่องการดำเนินนโยบายทางการเงิน มีรายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มีมติอนุมัติเป้าหมายนโยบายการเงินประจำปี 2557 โดยมีอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสร้อยละ 0.5-3 ต่อปี สำหรับเป้าหมายนโยบายการเงินถือเป็นความตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงินกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
+++นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลการสำรวจความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยเดือนส.ค. พบว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ และเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยดัชนีส่วนใหญ่อยู่ระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือน ทั้งนี้ ปัจจัยหนุนต่อการความเชื่อมั่นให้ปรับเพิ่มขึ้น คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับการโปรดเกล้าฯเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 พร้อมกับมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ทำให้เกิดความมั่นใจต่อสถานการณ์การเมืองไทยว่ามีเสถียรภาพมากขึ้น ขณะที่ สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันและในอนาคต ปรับตัวดีระดับสูงสุดในรอบ 88 เดือน ขยับจาก 80.8 จุด และ 98.4 จุด ในเดือนก.ค. เป็น 87.5 จุด และ 91.9 จุด ในเดือนส.ค. และมีแนวโน้มว่าดัชนีต่อสถานการณ์การเมืองจะทะลุ 100 จุดครั้งแรกในการสำรวจครั้งต่อๆ ไป ปัจจัยบวกดังกล่าว ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นของ ผู้บริโภคในปัจจุบัน และดัชนีความเชื่อมั่นของ ผู้บริโภคในอนาคต ปรับเพิ่มขึ้น และทำให้ดัชนีวัดความสุขในการดำรงชีวิตปรับดีขึ้นระดับสูงสุดในรอบ 17 เดือน นับจากเดือนเมษายน 2556
+++นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ปัจจัยลบที่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคคือ ยังเห็นว่าค่าครองชีพและราคาสินค้าทรงตัวระดับสูง ราคาพืชผลตกต่ำ โดยเฉพาะข้าวและยางพารา การส่งออกยังไม่ฟื้นตัว และสถานการณ์การเมืองโลกที่อาจกระทบต่อราคาน้ำมันและการส่งออกไทยไม่ฟื้นตัว จึงทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังระมัดระวังการใช้จ่ายและการท่องเที่ยว
+++ปัจจัยที่จะกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง คือ งบประมาณเบิกจ่ายภาครัฐ และรายได้จากการท่องเที่ยว คาดว่าส่งออกทั้งปีนี้น่าจะขยายตัวต่ำร้อยละ 1-1.5 ไตรมาสสุดท้าย เฉลี่ยเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังขยายตัวร้อยละ 4จะทำให้เศรษฐกิจทั้งปีขยายตัวร้อยละ 1.5-2
+++คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์(กสท.) ที่มี พ.อ.นที ศุกลรัตน์ เป็นประธาน จัดประชุมวาระพิเศษเป็นครั้งที่ 2 ในสัปดาห์นี้ เพื่อสรุปเรื่องการดำเนินการกับผู้ให้บริการโครงข่ายทีวีดาวเทียมและเคเบิลกรณีเผยแพร่สัญญาณของช่อง 3 อนาล็อก
+++ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกให้ปากคำนพ.พิสิฐ ตันติวัฒนกุล เจ้าของคลินิกย่านเพลินจิต เข้าพบพนักงานสอบสวนในวันพรุ่งนี้ พ.ต.อ.เดชา พรมสุวรรณ์ พนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี เปิดเผยว่า ทนายความคนใหม่ของ นพ.พิสิฐ เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับคดี เพื่อศึกษาแนวทางการต่อสู้คดี รวมทั้งขอยืดระยะเวลาในการเข้าพบพนักงานสอบสวนให้กับทางลูกความในวันที่ 6 กันยายน แต่ว่าผู้บังคับบัญชาไม่อนุญาต เนื่องจากให้โอกาสการเข้าให้ปากคำมาพอสมควรแล้ว หากยังไม่เดินทางมาพบอีก ตำรวจต้องดำเนินการขออนุมัติศาลแขวงปทุมวันออกหมายจับ ในวันที่ 8 กันยายน ทันที นอกจากนี้พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกแม่อุ้มบุญของพ่อชาวญี่ปุ่นอีก 3 คนที่เหลือ เพื่อให้เดินทางมาให้ปากคำในเวลา 10.00 น. วันที่ 5 กันยายน เพื่อสอบถามความเชื่อมโยงกับทางคลินิกย่านเพลินจิต เบื้องต้นได้รับการติดต่อมาเพียง 1 ราย ซึ่งขณะนี้ยังคงตั้งท้องได้ 7 เดือน แล้วต้องฝากท้องที่ รพ.แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย จึงไม่สามารถเข้าให้ปากคำได้ตามกำหนด พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ (ผบก.ตท.) กล่าวถึง ความคืบหน้าการติดตามตัว นายมิตสึโตกิ ชิเงตะ ที่จ้างอุ้มบุญว่า อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น และทราบว่ามีการเดินทางเข้าออกประเทศกัมพูชา มาเก๊า ฮ่องกง เป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ยังไม่มีการประสานมายังกองการต่างประเทศว่าจะเดินทางมาไทย แต่ทราบว่าทางทนายความของนายมิตสึโตกิ ชิเงตะ ได้ประสานกับพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินีแล้ว ทั้งนี้ ในส่วนของกองการต่างประเทศได้ทำหนังสือถึงตำรวจสากลของประเทศญี่ปุ่น เพื่อขอให้ตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวด้วย
+++ผลการประชุมป้องกันแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียนนักศึกษา นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ออก 7 มาตรการพิเศษสำหรับควบคุมและป้องปรามปัญหานักเรียนของ 21 วิทยาลัย ไม่ให้มีโอกาสก่อเหตุซ้ำอีกโดยเฉพาะก่อนปิดภาคเรียน เช่น การดูแลความปลอดภัยการเดินทางไป-กลับของนักเรียนใน 21 วิทยาลัย จัดสายตรวจประจำ 12 ถนนสายหลัก ช่วงเช้าเย็นเวลา เฝ้าระวังช่วงเวลาเรียน ห้ามไม่ให้นักศึกษา 21 วิทยาลัยออกนอกสถานศึกษา ปรับเปลี่ยนการจัดการเรียนการสอน