ปัญหาการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ย่ายเกียกกาย นาย โชติจุฑา อาจสอน ที่ปรึกษาบริหารโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ เปิดเผยว่า ภาพรวมของการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ปัจจุบันแล้วเสร็จไปร้อยละ 46 ซึ่งได้พูดคุยกับบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) ให้เร่งก่อสร้างเร็วขึ้น เพราะรัฐสภาปัจจุบันที่ใช้อยู่จะต้องส่งคืนสำนักพระราชวังเพื่อเป็นเขตพระราชฐานภายในสิ้นปีนี้ ทำให้สภาไม่มีที่อยู่ และได้ตกลงกันว่าจะใช้ห้องประชุมของสมาชิกวุฒิสภา หรือส.ว. ที่รัฐสภาแห่งใหม่เป็นที่ทำการแทน โดยห้องประชุมส.ว.จะต้องแล้วเสร็จในช่วงสิ้นปีนี้เพื่อรองรับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ในปัจจุบันที่จะย้ายไปใช้ห้องประชุมดังกล่าว คาดว่าเดือนตุลาคม 2561 จะเริ่มย้ายของจากรัฐสภาเก่าไปรัฐสภาใหม่ได้
ส่วนห้องประชุมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือส.ส. แล้วเสร็จไปประมาณร้อยละ 54 ซึ่งเร่งรัดว่าจะต้องแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม 2562 ทั้งนี้จำเป็นจะต้องเร่งรัดงบประมาณเพิ่มเพื่อรองรับการก่อสร้าง โดยงบประมาณการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ใช้งบรวม 18,000 ล้านบาท
ส่วนเรื่องงบประมาณไอที ที่มีข่าวว่าจะขออนุมัติงบถึง 8,000 ล้านบาท ขอยืนยันใช้งบเพียง 6,400 ล้านบาท ลดลงจากเดิมที่ตั้งไว้ 7,000 กว่าล้านบาท ส่วนสาเหตุที่งบไอทีเพิ่มจากอดีตที่วางไว้ถึง 3,000 ล้านบาท เพราะมีการปรับแก้ระบบให้ทันสมัย รวมทั้งมีการเพิ่มการติดตั้งกล้อวงจรปิด และจุดกระจายเสียงสัญญาณ ซึ่งงบดังกล่าวผ่านการเห็นชอบจากกระทรวงดิจิทัลฯแล้ว และกำลังอยู่ในชั้นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เตรียมจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.) โดยรับว่าแผนของงบไอทีเพิ่งจะเริ่มเมื่อปี 2559 และออกแบบเสร็จทั้งหมดเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา และเพิ่งเดินเรื่องขออนุมัติงบไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยจะเร่งรัดงบให้เร็วที่สุด
ประวัติการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่นั้น นาย โชติจุฑา อธิบายว่า เดิมทีมีแผนสร้างมาตั้งแต่ปี 2535 และได้ขออนุมัติงบจากคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.ไปสองครั้ง ด้วยวงเงิน 23,000 ล้านบาท และ 22,000 ล้านบาท ภายใต้พื้นที่ 123 ไร่ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องการขอคืนพื้นที่จากโรงเรียนและชุมชนรอบข้างที่มีความล่าช้า อีกทั้งมีการปรับเปลี่ยนงบหลายอย่าง และเพิ่มพื้นที่ขึ้น จนสุดท้ายต้องเลื่อนเวลาส่งมอบงานมาถึง 3 รอบนับรวมเวลาได้พันกว่าวัน โดยกำหนดล่าสุดคือต้องแล้วเสร็จทั้งหมดในวันที่ 15 ธันวาคม 2562
ธีรวัฒน์ สิทธิเกรียงไกร ผสข.