หลังการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีการพูดถึงมาตรในการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้เน้นย้ำ ให้อธิบายถึงกระแสข่าวที่มีการระบุว่า รัฐบาลชุดนี้มีการทุจริตและประพฤติไม่ชอบเป็นจำนวนมาก โดยเรื่องนี้มีมาเป็นระยะเวลานานแล้ว เพียงแต่รัฐบาลชุดนี้มีการเอาจริงเอาจัง จึงปรากฏผลให้เห็นเป็นคดีจำนวนมาก นายกรัฐมนตรียังได้ฝากขอบคุณประชาชนที่แจ้งเบาะแสทำให้บางเรื่องเข้าสู่ กระบวนการสืบสวนสอบสวน และยังได้นำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
โดยในที่ประชุมได้เห็นชอบ กรณีพบการร้องเรียนการทุจริตประพฤติมิชอบให้หน่วยงานราชการ จะต้องมีการตรวจสอบโดยทันที กำหนดระยะเวลาต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่เกิน 7 วัน นับตั้งแต่ได้รับข้อมูล และตรวจสอบทั้งหมด ภายใน30วัน หากข้อมูลเบื้องต้นพบว่ามีการกระทำผิดตามข้อร้องเรียนจริง ให้หัวหน้าหน่วยงานราชการ พิจารณา ปรับย้ายไปดำรงตำแหน่งอื่นเป็นการชั่วคราว หากเป็นเรื่องไม่ร้ายแรงอาจหมุนเวียนดำรงตำแหน่งอื่นภายในกระทรวง แต่หากเป็นเรื่องร้ายแรงหรือกระทบกับพยานหลักฐานให้ปรับย้าย ไปอยู่นอกกระทรวง และหากสอบสวนพบมีหลักฐานชัดเจนจนชี้มูลความผิดได้ให้หัวหน้าส่วนราชการดำเนินการทางวินัยทันที โดยไม่ต้องรอผลในทางคดีอาญา ซึ่งหากมีโทษร้ายแรงให้ปรับย้าย ไปดำรงตำแหน่งอื่นและห้ามกลับมาดำรงตำแหน่งเดิมภายใน 3 ปี หรือห้ามปรับย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นกว่าเดิมเป็นระยะเวลา 3 ปี
โฆษกรัฐบาลยืนยันว่ากระบวนการทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นการใช้อำนาจตามมาตราปกติ โดยในที่ประชุมยังมีข้อเน้นย้ำว่าผู้บังคับบัญชา หัวหน้าหน่วยงานส่วนราชการ จะต้องให้ความสำคัญกับการดำเนินการอย่างเต็มที่ ทั้งการสอบสวนข้อเท็จจริง การลงโทษทางวินัย ไม่ให้เกิดความล่าช้า