ปูตินอยู่ในตำแหน่งต่ออีกสมัย/เตรียมหารือปลดนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ/จีนเปลี่ยนนโยบายประชากร

20 มีนาคม 2561, 05:50น.


ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 18 มีนาคมตามคาดและส่งผลให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 4 มีวาระ 6 ปี หรือจนถึงปี 2567 การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์มากกว่าร้อยละ 67 และประธานาธิบดีปูตินได้รับคะแนนสนับสนุนร้อยละ 76.67 รองลงมาคือนายพาเวล กรูดินิน จากพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีคะแนนร้อยละ 11.79 อย่างไรก็ตามฝ่ายค้านและกลุ่มสังเกตการณ์การเลือกตั้งโต้แย้งว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีการทุจริตเกิดขึ้นหลายรูปแบบทั้งการที่พบบัตรลงคะแนนอยู่ในกล่องตั้งแต่ก่อนการเปิดคูหาเลือกตั้งไปจนถึงการลงคะแนนซ้ำ  และการข่มขู่ให้ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งด้วย



ประธานาธิบดีปูติน อายุ 66 ปีกล่าวปราศรัยขอบคุณกลุ่มผู้สนับสนุน โดยเห็นว่าผลการเลือกตั้งที่ออกมาเป็นการรับรองความสำเร็จของรัสเซียในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเขามองเห็นความเชื่อมั่นและความหวังของประชาชนผ่านผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีผู้นำเพียงไม่กี่ประเทศที่แสดงความยินดีกับชัยชนะของประธานาธิบดีปูติน



กระทรวงการต่างประเทศฟินแลนด์เปิดเผยว่า ตัวแทนจากเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา เตรียมจัดการหารือเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือในประเทศฟินแลนด์ในเร็วๆ นี้ โดยจะมีตัวแทนจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐร่วมหารือด้วย ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้เปิดเผยว่าจะมีอดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชนเข้าร่วมหารือด้วย ขณะเดียวกันเกาหลีเหนือกำลังมีการหารือกับสหรัฐฯและสวีเดน เกี่ยวกับการปล่อยตัวชาวอเมริกัน 3 คน ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเกาหลีเหนือเวลานี้



ส่วนที่เกาหลีใต้ อัยการขอให้ศาลออกหมายจับนายอี มยองบัก อดีตผู้นำเกาหลีใต้ในข้อหารับสินบน ยักยอกและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยเมื่อสัปดาห์ก่อนเขาเข้ารับการสอบปากคำ และเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่เขาจะทำลายหลักฐาน หรือสร้างพยานเท็จหากไม่มีการควบคุมตัวไว้ หากศาลอนุมัติหมายจับกุม ก็จะทำให้เขาเป็นอดีตผู้นำเกาหลีใต้ที่ยังมีชีวิตอยู่คนที่ 4 ที่ถูกควบคุมตัวในข้อหาทุจริต



โดยในข้อกล่าวหาเรื่องการรับสินบนยังมีกรณีรับเงินจากซัมซุงกรุ๊ป เพื่ออภัยโทษประธานซัมซุงในคดีเลี่ยงภาษี ทั้งยังมีข้อสงสัยว่า ก่อนเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2550 เขารับสินบนราว 200 ล้านวอนเพื่อตั้งมหาวิทยาลัยพุทธศาสนา ทั้งสงสัยว่านางคิม ยูนอ็อก ภรรยาของเขารับเงินเกือบพันล้านวอนจากสำนักข่าวกรอง



ส่วนการประชุมสุดยอดออสเตรเลียและสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ประชุมเห็นพ้องกันในโครงการก่อสร้างท่อส่งเชื้อเพลิงในภูมิภาค ซึ่งนางจูเลีย บิชอป รัฐมนตรีการต่างประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยว่าโครงการนี้จะพัฒนาท่อส่งเชื้อเพลิงของโครงการสาธารณูปโภคคุณภาพสูง เพื่อดึงดูดการลงทุนของภาครัฐและเอกชน ซึ่งออสเตรเลีย, สหรัฐ, อินเดีย และญี่ปุ่นแสวงหาทางเลือกใหม่ให้แก่ภูมิภาค นอกเหนือจากแผนการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีความร่วมมือทางทหาร แต่ก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของการไม่ใช้กำลังทางทหารในพื้นที่พิพาททะเลจีนใต้ พร้อมจะมีการทำงานอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อจัดการภัยคุกคามของผู้ก่อการร้ายและกลุ่มหัวรุนแรง



ส่วนกรณีของเมียนมา ที่ประชุมไม่ได้ออกแถลงการณ์ใดๆ แม้นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ผู้นำมาเลเซีย จะโน้มน้าวว่าการอพยพของชาวโรฮิงญาเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงครั้งใหม่ในภูมิภาค และกลุ่มสิทธิมนุษยชนจัดการชุมนุมประท้วงนางอองซาน ซูจี ผู้นำเมียนมา, นายกรัฐมนตรีฮุนเซน แห่งกัมพูชา และนายกรัฐมนตรีเหงียน ซวน ฟุก แห่งเวียดนาม



อย่างไรก็ตามหลังเสร็จสิ้นการประชุม นางซูจีเริ่มต้นการเยือนออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ และเตรียมชี้แจงสถานการณ์ในรัฐยะไข่แต่ต่อมาทางสถาบันด้านการวิจัยและการเมืองนานาชาติ โลวี ของออสเตรเลีย ผู้จัดการกล่าวสุทรพจน์ของนางซูจี แจ้งยกเลิกการจัดงาน เนื่องจากนางซูจีมีปัญหาสุขภาพ



ส่วนการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติของจีน ที่ประชุมรับรองการแต่งตั้งนายหวัง อี้ อายุ 64 ปีเป็นมนตรีแห่งรัฐ แทนที่นายหยาง เจียฉือ



สื่อของทางการจีนเปิดเผยว่า ทางการเตรียมปิดหน่วยงานควบคุมประชากร สังกัดคณะกรรมาธิการสาธารณสุขและวางแผนครอบครัวแห่งชาติ ตามแผนการปรับโครงสร้างใหญ่ โดยจะตั้งหน่วยงานของรัฐแห่งใหม่เพื่อบริหารจัดการประชากร และจะมีการปฏิรูประบบการแพทย์ขั้นพื้นฐานแห่งชาติ การกำกับดูแลและบริหารจัดการด้านสาธารณสุข รวมถึงเหตุฉุกเฉิน



จีนใช้นโยบายลูกคนเดียวตั้งแต่ปี 2521 จนถึงปี 2560 จึงอนุญาตให้ครอบครัวมีบุตรคนที่สอง และในการประชุมเอ็นพีซีครั้งที่ 13 ในปีนี้มีการเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาเรื่องการมีลูกคนที่สาม มิเช่นนั้นจีนจะเกิดสภาวะขาดแคลนแรงงานในทศวรรษหน้า



หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯและยุโรปเรียกร้องให้นายมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการในสภาฯ กรณีที่ข้อมูลผู้ใช้งานเฟซบุ๊คกว่า 50 ล้านคนจึงตกอยู่ในมือของบริษัท เคมบริดจ์ แอนาลิติกา ซึ่งทำงานให้กับทีมหาเสียงของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งที่ผู้ใช้งานไม่ได้อนุญาต ทั้งจะสอบสวนด้วยว่า เฟซบุ๊คละเมิดกฎหมายการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ ซึ่งถ้าผิดจริงจะต้องจ่ายค่าปรับสูงสุด 40,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อการละเมิด 1 ครั้ง



แรงกดดันจากกรณีเฟซบุ๊คส่งผลให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,610.91 จุด ร่วงลง 335.60 จุด หรือลบร้อยละ 1.35



ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,712.92 จุด ลดลง 39.09 จุด หรือลบร้อยละ 1.42



ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,344.24 จุด ลดลง 137.74 จุด หรือลบร้อยละ 1.84



สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส งวดส่งมอบเดือนเมษายนลดลง 28 เซนต์ หรือร้อยละ 0.4 ปิดที่ 62.06 ดอลลาร์/บาร์เรล



สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพฤษภาคมลดลง 16 เซนต์ หรือร้อยละ 0.2 ปิดที่ 66.05 ดอลลาร์/บาร์เรล



...

ข่าวทั้งหมด

X