ทส.ขอดีเอสไอ -ปปง. ช่วยสอบเพิ่ม เปรมชัย บุกรุกพื้นที่ป่า

03 มีนาคม 2561, 07:55น.


ภายหลังจากที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ตรวจสอบพบว่างาช้างทั้ง 2 คู่ จำนวน 4 กิ่ง ที่นายเปรมชัย กรรณสูตร ประธานกรรมการบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดิเวล๊อปเมนต์ จำกัด ครอบครอง เป็นงาช้างจากแอฟริกา รวมทั้งไม่ได้แจ้งครอบครองอย่างถูกต้องตามกฏหมาย นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า จะขอดูหนังสือแสดงสิทธิการครอบครองงาช้างทั้ง 2 คู่อีกครั้ง หากไม่มีก็ต้องริบเอาไว้เป็นสมบัติของแผ่นดิน ก่อนแจ้งความดำเนินคดีตามมาตรา 19 แห่งพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ต่อไป  ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.งาช้าง พ.ศ.2558 หากพบว่างาช้างที่นำมาขึ้นทะเบียนไม่ใช่งาช้างบ้านโดยมีผลดีเอ็นเอยืนยันชัด กรมอุทยานฯ ต้องทำหนังสือไปยังผู้ครอบครองให้ส่งมอบงาช้างเพื่อให้ตกเป็นของแผ่นดินภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่ยินยอมส่งมอบ ก็จะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 3 ล้านบาท และอาจแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมในคดีอาญากรณีแจ้งข้อมูลเท็จนำงาช้างแอฟริกามาขึ้นทะเบียนเป็นงาช้างบ้านด้วย  ทั้งนี้ ก่อนขึ้นทะเบียนงาช้างบ้านกับกรมอุทยานฯ ผู้ครอบครองต้องนำเอกสารหลักฐานการได้มาของงาช้างมาแสดงกับเจ้าหน้าที่ หรือหากไม่มีหลักฐานการได้มา ต้องลงนามรับรองในแบบฟอร์มว่างาช้างดังกล่าวเป็นงาช้างบ้านจริง ซึ่งหากไม่แน่ใจ สามารถตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอก่อนได้ โดยฝ่ายผู้ครอบครองจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจดีเอ็นเอ



ส่วนการตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่ป่า 2484 ตามพ.ร.บ.ป่าไม้ เพื่อเข้าไปสร้างบ้านพักตากอากาศ รวมทั้งสิ่งก่อสร้างอื่นๆ นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ และหัวหน้าชุดปฏิบัติการพยัคฆ์ไพร กล่าวว่า เบื้องต้นที่เข้าไปตรวจสอบพบว่า นายเปรมชัยและพวก บุกรุกพื้นที่ป่า สร้างสิ่งก่อสร้างไม่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครอง แจ้งความดำเนินคดีไปแล้วจำนวน 6,200 ไร่ ต่อมา เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบขยายผล แจ้งความเพิ่มข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่า ไม่มีเอกสารสิทธิการครอบครองอีก 2 คดี รวมทั้งหมดเป็น 6,500 ไร่



พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์  รมว.ทรัพยากรฯ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้นายชีวะภาพ เป็นประธานคณะทำงาน ติดตามการช่วยเหลือคดีการบุกรุกพื้นที่ป่าภูเรือ ภูเปือย ภูขี้เถ้า กรณีของนายเปรมชัย และพวก ใช้กำลังเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางเข้าไปช่วยเหลือ และเป็นแบ็คอัพ การทำงานตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ตามนโยบายของรัฐมนตรีที่ว่า เจ้าหน้าที่ที่ทำงานในพื้นที่ต้องไม่ทำงานอย่างโดดเดี่ยว ให้มีทั้งกำลังเสริมและกำลังคอยสนับสนุนตลอดเวลา ล่าสุด คณะทำงานได้ประสานงานไปยัง กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) เพื่อขอให้เข้ามาช่วยตรวจสอบในเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากเมื่อได้ตรวจสอบแบบขยายผลแล้วพบว่า เรื่องการออกเอกสารสิทธิที่ดิน มีความสลับซับซ้อนอย่างมาก การครอบครองที่ดินมีความเชื่อมโยงกันทั้งหมด ทั้งพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ และพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ มีความเป็นไปได้สูงว่า น่าจะมีการบุกรุกพื้นที่มากกว่าที่ตรวจสอบแจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว 6,500 ไร่ แน่นอน ทั้งนี้  ให้คณะทำงานในพื้นที่เก็บข้อมูล และส่งมาให้ดีเอสไอ และส่วนกลาง โดยหลังจากวันที่ 12 มี.ค.นี้ คณะทำงานส่วนกลางและดีเอสไอจะลงพื้นที่



แฟ้มภาพ  



 



 

ข่าวทั้งหมด

X