ผู้นำศาสนาคริสต์ทั้ง 3 นิกายในนครเยรูซาเล็ม ออกประกาศร่วมกันซึ่งแทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือการให้ปิดโบสถ์แห่งสุสานศักดิ์สิทธิ์ (the Holy Sepulchre) เพื่อประท้วงนโยบายภาษีฉบับใหม่ของอิสราเอล และกฎหมายว่าด้วยอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งกลุ่มผู้นำศาสนาเห็นว่าเป็นกฎหมายที่ต้องการโจมตีชาวคริสต์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และกังวลว่าที่ดินที่เป็นของศาสนาจะกลายเป็นของรัฐ จึงให้ปิดโบสถ์ไปจนกว่าทางการอิสราเอลจะมีคำชี้แจงที่ชัดเจน ทั้งนี้ ชาวคริสต์มีความเชื่อว่าพระเยซูถูกตรึงกางเขน ฝังและฟื้นคืนชีพในพื้นที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์ ทำให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนาคริสต์และเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญสำหรับผู้เดินทางมาประกอบพิธีทางศาสนา
ด้านผู้สนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ ระบุว่า เป้าหมายสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือการห้ามชาวอิสราเอลที่อาศัยอยู่บนที่ดินโบสถ์เก่าขายที่ดินให้กับนักพัฒนาเอกชน เพราะมีแนวโน้มว่าที่ดินในเยรูซาเล็มจะแพงขึ้นมากหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศรับรองให้เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลและให้ย้ายสถานทูต นายนีร์ บาร์กัต นายกเทศมนตรีเยรูซาเล็ม ยืนยันว่าที่ดินของศาสนจักรก็ยังเป็นของศาสนจักรอยู่เช่นเดิม แต่ยอมรับว่าธุรกิจอื่นๆ ของโบสถ์จะได้รับผลกระทบ ซึ่งหลังจากที่ศาสนจักรยื่นเรื่องร้องเรียนและขอคำชี้แจง ทางคณะรัฐมนตรีอิสราเอลก็ให้เลื่อนการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ออกไป 1 สัปดาห์
...