ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อทรัพย์สิน บริษัท และธุรกิจการขนส่งสินค้าทางเรือที่มีความเชื่อมโยงกับเกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็นมาตรการครั้งหนักหน่วงที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพื่อบีบบังคับให้เกาหลีเหนือยุติโครงการพัฒนาขีปนาวุธและนิวเคลียร์ กับคาดหวังผลกระทบต่อเศรษฐกิจเกาหลีหนือซึ่งสั่นคลอนอยู่แล้ว รวมถึงการจัดส่งเชื้อเพลิง อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ให้รายละเอียดทั้งหมด แต่เป็นที่คาดว่า จะพุ่งเป้าไปที่เรือ 56 ลำ ธุรกิจการค้า และบริษัทชิปปิ้ง และหากมาตรการเหล่านี้ยังไม่ประสบผลก็จะดำเนินมาตรการขั้นที่ 2 ต่อไป ซึ่งมีแนวโน้มรุนแรงมาก
ด้านนายสตีฟ มนูชิน รมว.คลังสหรัฐฯ ยืนยันว่า มาตรการลงโทษกดดันเกาหลีเหนือมากที่สุดครั้งนี้ครอบคลุมเรือ ซึ่งเกาหลีเหนือใช้ในเวลานี้ทุกลำ และเห็นสัญญาณว่า มาตรการลงโทษต่างๆ เริ่มมีผลกระทบต่อเกาหลีเหนือแล้ว แต่ไม่ได้ให้รายละเอียด
ทั้งนี้ ภายหลังผู้นำสหรัฐฯ ประกาศมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจครั้งล่าสุด คณะผู้แทนสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติได้ร้องขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ขึ้นบัญชีกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบค้าน้ำมันและถ่านหินกับเกาหลีเหนือ ซึ่งขัดต่อข้อมติของ UNSC โดยได้เสนอรายชื่อให้คณะกรรมาธิการลงโทษของ UNSC พิจารณาแล้ว เพื่อยุติกิจกรรมการลักลอบค้าน้ำมันและถ่านหินผ่านทางทะเลทั้งหมด อย่างไรก็ตาม รายชื่อทั้งหมดยังต้องรอผ่านการพิจารณาอนุมัติจาก UNSC ทั้ง 15 ประเทศ รวมทั้งจีน ซึ่งเป็นมิตรประเทศของเกาหลีเหนือ
ด้านนางนิกกี เฮลีย์ ทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ แถลงว่า ความพยายามนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สหรัฐฯ จะไม่ปล่อยเกาหลีเหนือ โดยจะใช้ทุกเครื่องมือ ทั้งการทำงานร่วมกับมิตรประเทศ และสหประชาชาติ เพื่อเพิ่มแรงกดดันเกาหลีเหนือ อย่างไรก็ดี รายงานของผู้เชี่ยวชาญแห่งสหประชาชาติเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า เกาหลีเหนือประสบผลสำเร็จในการหลีกเลี่ยงมาตรการลงโทษ โดยมีรายได้จากการส่งออกถ่านหิน เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ต้องห้ามชนิดอื่นๆ เป็นจำนวน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปีที่แล้ว
...
(0740 F171)