หลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ พ.ร.บ.อีอีซี ได้ผ่านการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือสนช. ในวาระที่ 2 และ 3 แล้ว นายวรพล โสคติยานุรักษ์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว เปิดเผยว่า ร่างพระราชบัญญัติอีอีซี ครอบคลุม 3 จังหวัดคือ จ.ชลบุรี จ.ระยอง และจ.ฉะเชิงเทรา เป็นสามจังหวัดนำร่อง ใช้เป็นพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจ โดยพบว่าสามจังหวัดนี้กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่น ที่อยากเข้ามาลงทุนจำนวนมาก และสามจังหวัดนี้ยังเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนา ซึ่งอีอีซีจะเน้นการส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมใน 10 ประเภทธุรกิจ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อยกระดับการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและยกระดับความเป็นเมืองให้มากขึ้น สำหรับอีอีซีจะมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายร่วมกับรัฐมนตรีอีก 14 กระทรวงที่จะร่วมเป็นกรรมการ กำหนดให้มีการร่วมลงทุนกับเอกชน หรือให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการประกอบธุรกิจ โดยได้ออกมาตรการจูงใจนักลงทุนและผู้ประกอบการต่างชาติให้มีสิทธิเช่าซื้อที่ดิน หรือออกเอกสารสิทธิถือครองที่ดินเพื่อประกอบกิจการได้ หากหลังลงทุนและมีการถือครองที่ดินไว้เฉยๆโดยไม่ได้สานต่อกิจการเป็นเวลา 3 ปี ก็จะถูกคณะกรรมการยึดที่คืนได้ ยืนยันว่าไม่ได้มีการให้สิทธิพิเศษกับนักลงทุนต่างชาติมากเกินไปอย่างที่หลายฝ่ายคิด และการให้สิทธิกับนักลงทุนก็ใกล้เคียงกับสิทธิต่างๆที่กฎหมายส่งเสริมการลงทุนเคยให้ในอดีต เชื่อว่า การมีอีอีซีจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับสามจังหวัดขึ้นมาก และอนาคตก็มีความเป็นไปได้ที่จะขยายจังหวัดใกล้เคียงต่างๆให้เป็นพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเช่นกัน ซึ่งคณะกรรมการนโยบายจะเป็นผู้พิจารณา อย่างไรก็ดียังมีข้อกำหนดให้จัดทำรายงานประเมินผลกระทบทางสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ โดยการประกอบธุรกิจต้องควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย
ส่วนการประชุมสนช. ล่าสุดที่ประชุมได้ลงมติในวาระที่ 1 รับหลักการร่างพระราชบัญญัติการผังเมืองไว้พิจารณา ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 192 เสียง ไม่เห็นด้วย ไม่มี และงดออกเสียง 4 เสียง ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาจำนวน 35 คน ระยะเวลาการดำเนินงาน 60 วัน สำหรับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายผังเมืองที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
ผู้สื่อข่าว: ธีรวัฒน์ สิทธิเกรียงไกร