กรณีที่เกิดการเข้าใจผิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเอาผิดกับนายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ฝั่งตะวันตก นายสมโภชน์ มณีรัตน์ โฆษกกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางวินัยกับนายวิเชียร กรณีไม่เก็บค่าธรรมเนียม จากนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และพวกรวม 4 คน และการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นเชื่อว่านายวิเชียรไม่มีเจตนาในการละเว้นการเก็บค่าธรรมเนียม โดยนายวิเชียร ได้รับการประสานผ่านทางโทรศัพท์ด้วยวาจาให้อนุญาตให้นายเปรมชัยและพวกเข้าพื้นที่ได้ แม้ไม่มีการส่งหนังสือขออนุญาตมาอย่างเป็นทางการ แต่ก็เชื่อว่ากลุ่มของนายเปรมชัยได้รับการอนุญาตตามขั้นตอนแล้ว
หลังจากนี้ กรมอุทยานฯ จะต้องตรวจสอบบุคคลเข้าออกพื้นที่อย่างเข้มงวด จะต้องมีการทำหนังสือมาอย่างเป็นทางการ และจะต้องระมัดระวังการอนุญาตด้วยวาจาให้มากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำรอยและการที่พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะให้ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษนายวิเชียร ตามขั้นตอนจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงก่อน เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
สำหรับการขออนุญาตเข้าพื้นที่และเก็บค่าธรรมเนียมตามระเบียบจะต้องได้รับการมอบอำนาจตามลำดับชั้น โดยแบ่งเป็น 2 กรณี เช่นการไม่ค้างคืน ผู้มีอำนาจอนุญาตให้บุคคลเข้าพื้นที่ได้คือ ผู้อำนวยการสำนักบริหารในพื้นที่ ซึ่งในพื้นที่นี้ ต้องขออนุญาตจากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ส่วนการเข้าพื้นที่โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียม ผู้มีอำนาจอนุญาต คือ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า
ภายหลังที่นางสาวกาญจนา นิตยะ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน นานเกือบ2ชั่วโมง ได้เปิดเผยว่า วันนี้ได้มาให้ปากคำเพิ่มเติมและนำส่งเอกสารบางส่วนให้กับเจ้าหน้าที่ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้อนุญาตให้นายเปรมชัย เข้าพื้นที่หลังจากที่นายนพดล พฤกษะวัน อดีตข้าราชการในกรมอุทยาน ซึ่งเป็นที่ปรึกษาบริษัทอิตาเลียนไทย โทรศัพท์มาขออนุญาต แต่ตัวเองแค่แนะนำขั้นตอนเท่านั้น โดยให้ประสานกับสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ขอเข้าพื้นที่
ส่วนการที่นายนพดล โทรมาขออนุญาต จะมีเจตนาแอบแฝงในการเข้าไปล่าสัตว์หรือไม่ ไม่สามารถสรุปได้ เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งวันนี้มีการเรียกหลายฝ่ายเข้ามาสอบปากคำ
นางสาวกาญจนา ชี้แจงว่า จากการตรวจสอบไม่พบข้อมูลว่านายเปรมชัยเคยเข้าพื้นที่และไม่มีการบันทึกเรื่องการโทรศัพท์ให้อำนวยความสะดวกขอเข้าพื้นที่ เพราะแม้จะมีการโทรศัพท์เข้ามา ก็ต้องมีหนังสือคำสั่งจากกรมอุทยานฯประกอบมาด้วย
ส่วนคลิปเสียงลักษณะต่อรองกับเจ้าหน้าที่ ยังไม่ได้รับรายงาน เพราะปกติเรื่องใหญ่แบบนี้จะต้องมีรายงานถึงผู้บริหารระดับสูง
นอกจากนี้นางสาวกาญจนา ยังได้นำกรณีการขอเข้าพื้นที่ป่าของนายเจษฎาภรณ์ ผลดี และนายเปรมชัย มาเปรียบเทียบกัน โดยระบุว่าเป็นการเข้าพื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาตเหมือนกัน ซึ่งในกรณีของนายเจษฎาภรณ์ เป็นการร้องทุกข์กล่าวโทษเข้าไปในพื้นที่ป่าที่ห้ามเข้าแล้ว ส่วนกรณีนายเปรมชัย เป็นการเข้าพื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาต และมีความผิดเพิ่มเติมคือล่าสัตว์ป่า ทำให้ต้องถูกดำเนินคดีด้วย
ผู้สื่อข่าว: ธนดา เฉลิมวันเพ็ญ