กกต.ขอสนช.ไม่ต้องกลัวเสียหน้า พิจารณาความเห็นแย้งร่างพ.ร.ป.2ฉบับ

09 กุมภาพันธ์ 2561, 15:53น.


การเตรียมส่งความเห็นแย้งต่อร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา หรือ ร่างพ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. และร่างพ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. คาดว่า ภายในวันนี้ จะส่งความเห็นแย้งต่อร่างพระราชบัญญัติสองฉบับให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ซึ่งจะนำไปสู่การตั้งคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ประกอบด้วยผู้แทนจาก สนช. 5 คน ผู้แทนจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญหรือ กรธ. 5 คน และจากกกต. 1 คน ในส่วนของกกต. ผู้ที่จะเข้าเป็นกรรมาธิการร่วมคือประธานกกต. ยืนยันว่า กกต.มีประเด็นการทำความเห็นแย้งร่างพ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 5 ประเด็น และร่างพ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. 1 ประเด็น ซึ่งคณะกรรมาธิการร่วมต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จใน 15 วัน หลังจากนั้น ก็จะเข้าสู่การพิจารณาจากที่ประชุมสนช. ซึ่งหากที่ประชุมสนช. เห็นด้วยกับร่างกฎหมายก็จะเป็นไปตามข้อเสนอของคณะกรรมาธิการร่วม แต่หากที่ประชุมสนช. มีคะแนนเสียงเกินกว่า 2 ใน 3 ไม่เห็นชอบกับร่างของคณะกรรมาธิการร่วมก็จะมีผลให้กฎหมาย ส.ส. หรือ ส.ว. ทั้งฉบับตกไปและจะต้องมีการร่างกฎหมายใหม่



ทั้งนี้ มองว่าการที่ สนช.จะคว่ำร่างกฎหมาย ส.ส. หรือ ส.ว. มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ยาก แต่หากเกิดขึ้นก็จะต้องนำไปสู่การร่างกฎหมายใหม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับสาระของกฎหมายที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในประเด็นใด หากมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากก็ไม่เกิดปัญหา โดยกรธ.ซึ่งเป็นผู้ดูแลมาตลอด ก็จะเป็นผู้ดูแลในการยกร่าง เพราะจะทำให้การแก้ไขกฎหมายรวดเร็วกว่าการตั้งกรรมการร่างกฎหมายชุดใหม่



อย่างไรก็ตาม หากมีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของกฎหมายมากจนทำให้กรธ. มีความเห็นต่างและไม่ต้องการที่จะแก้ไขกฎหมาย รัฐบาลก็ต้องหาผู้ที่เข้ามาเป็นกรรมการร่างกฎหมายซึ่งกระบวนการในส่วนนี้ไม่ได้มีการกำหนดกรอบเวลา แต่เห็นว่าไม่ควรที่จะใช้เวลานานเกินไป เพราะว่าหลักการใหญ่ของกฎหมายมีความครบถ้วนแล้วจึงคาดว่าน่าจะใช้เวลาร่างกฎหมายใหม่ประมาณ 2 เดือน จากนั้นเข้าสู่ที่ประชุมสนช. ใช้เวลาอีก 4 เดือน หากไม่มีความเห็นแย้งก็จะนำไปสู่ขั้นตอนการทูลเกล้าฯ ที่ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1-2 เดือน ซึ่งก็จะทำให้โรดแมปการเลือกตั้งขยายออกไปอีก 6 เดือน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้



อย่างไรก็ดี ต้องหารือกับสนช. ด้วยว่าจะมีท่าทีอย่างไร แต่เห็นว่าสิ่งใดที่สังคมส่วนใหญ่ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว สนช. ก็ไม่ควรดื้อดึง และสังคมต้องจับตาดูระยะเวลา 15 วัน ของกรรมาธิการร่วม ซึ่งถือช่วงเวลาสำคัญว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายในหลักการสาระสำคัญใดบ้าง และสนช.ไม่ควรใช้ความเห็นส่วนตัวหรือความเห็นในอดีตมาอ้างอิง เพราะความเห็นสามารถเปลี่ยนแปลงได้เพื่อให้ประเทศชาติได้ประโยชน์ ดังนั้น สนช. จึงไม่ต้องกลัวเสียหน้า



 



แฟ้มภาพ 



ผู้สื่อข่าว : ธีรวัฒน์ สิทธิเกรียงไกร



 



 



 

ข่าวทั้งหมด

X