รมว.ยธ.เผยจะดูรายละเอียดคดีฟอกเงินธ.กรุงไทย/ก.คลัง ปรับจีดีพีปี 2560และ 2561/เสนอค่าแรงขั้นต่ำเข้าครม.30 ม.ค.

29 มกราคม 2561, 19:52น.


+++กรณีนายชุมสาย ศรียาภัย ทนายความนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อกระทรวงยุติธรรมในคดีฟอกเงินธนาคารกรุงไทย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ได้รับหนังสือขอความเป็นธรรมจากนายชุมสาย แล้ว โดยมีนายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้แทนรับเรื่องร้องเรียนดังกล่าว และจะสรุปประเด็นให้รับทราบในเบื้องต้น ซึ่งในวันพรุ่งนี้ จะเข้าไปดูรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง สำหรับประเด็นทนายความของนายพานทองแท้ ได้ร้องเรียนเรื่องพยานในคดีฟอกเงินกรุงไทย โดยระบุว่า มีการตัดพยานปากสำคัญเหลือเพียง 3 ปาก พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า มีพยานมากกว่า 3 ปากขึ้นไป แต่ในส่วนอื่นที่มาขอเป็นพยานเพิ่มเติมจะขอดูข้อเท็จจริงอีกครั้งว่า เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีหรือไม่จะพิจารณาให้อีกครั้ง



+++กรณีศาลปกครองยกคำขอทุเลาบังคับคดีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ภายหลังยื่นคำร้องขอทุเลาการยึดอายัดเพื่อชดใช้ความเสียหาย 35,000 ล้านบาท ในความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าว น.ส.รื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวว่า กรมบังคับคดี มีหน้าที่รับเรื่องจากกระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้เสียหาย ตามขั้นตอนกระทรวงการคลังจะต้องดำเนินการสืบทรัพย์และตั้งเรื่องเพื่อขอยึดอายัดทรัพย์ ในส่วนของกรมบังคับคดี ต้องรอกระทรวงการคลังมายื่นเรื่องเพิ่มเติมต่อไป โดยก่อนหน้านี้กระทรวงการคลัง ได้ยื่นคำร้องขอให้ยึดอายัดทรัพย์ไปบางส่วน ซึ่งกรมบังคับคดี ได้ดำเนินการตามคำร้องที่โจทก์สืบทรัพย์มาบางส่วนแล้ว โดยทำตามขั้นตอนของกฎหมายมาตลอด



+++น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง และโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้ปรับประมาณการณ์เติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2560 และปี 2561 เพิ่มขึ้นจากครั้งที่แล้วเมื่อเดือนต.ค.2560 โดยประเมินว่าปี 2560 จีดีพีจะขยายตัวเพิ่มจากร้อยละ 3.8 เป็นร้อยละ 4 ซึ่งสูงกว่าปี 2559 ที่เติบโตที่ร้อยละ 3.2 ขณะที่ปี 2561 ได้ปรับประมาณการเพิ่มจากร้อยละ 3.8 เพิ่มเป็นร้อยละ 4.2  



+++สำหรับการปรับประมาณการณ์จีดีพีครั้งนี้ มาจากการปรับขึ้นของปัจจัยเศรษฐกิจโลกปีนี้ ที่เติบโตเกินคาดจากร้อยละ 3.59 เป็น ร้อยละ 3.83 ขณะที่ ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นได้อีกมาที่ 31.96 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ผันผวนน้อยลง ส่วนราคาน้ำมันดูไบน่าจะทรงตัว 61.5 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล การท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี 38.2 ล้านคน รายได้ 2.02 ล้านล้านบาท และที่สำคัญมาจากการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐทั้งงบประจำ และงบลงทุน รวมถึงการเบิกจ่ายงบกลางอีก 1.5 แสนล้านบาทด้วย ยกเว้นปัจจัยดอกเบี้ยนโยบายยังเท่าเดิมที่ ร้อยละ 1.5 ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในปีนี้ เช่น ความผันผวนของเศรษฐกิจการเงินโลก การดำเนินนโยบายการเงินของประเทศพัฒนาแล้ว และความผันผวนของค่าเงินและราคาน้ำมันในตลาดโลก  



+++ส่วนประเด็นรัฐบาลประกาศเลื่อนการเลือกตั้งออกไป ไม่น่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจเพราะเป็นเลื่อนเพียง 3 เดือนเท่านั้น ไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นมาก เห็นได้จากตลาดหุ้นที่ดัชนีปรับลดไปแค่วันเดียว หลังจากนั้นก็กลับขึ้นมาได้



+++ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  ปิดตลาดบ่าย ปรับเพิ่มขึ้น 8.61 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,837.49 จุด มูลค่าการซื้อขาย 54,294.13 ล้านบาท



+++การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนีนิเคอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ญี่ปุ่น ลดลง 2.54 จุด ปิดที่ 23,629.34 จุด

+++การลงทุนในตลาดหุ้นฮั่งเส่ง ฮ่องกง ลดลง 187.23 จุด ปิดวันนี้ที่ 32,966.89 จุด



+++นายชาลี ลอยสูง รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) เข้าพบ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเพื่อหารือถึงค่าจ้างขั้นต่ำ พร้อมทั้งยืนยันจุดยืนเดิมคือต้องเท่ากันทั้งประเทศ เพื่อลดความเลื่อมล้ำและปัญหาการอพยพย้ายถิ่นฐาน ไปทำงานยังพื้นที่ที่มีค่าแรงสูงกว่า นอกจากนี้ ยังเสนอให้รัฐมนตรีทบทวนนโยบายการจัดทำโครงสร้างค่าจ้างประจำปีที่ต้องจัดทำทุกสถานประกอบการ ไม่จำกัดเฉพาะในสถานประกอบการที่มีแรงงาน 50 คนขึ้นไป เพื่อให้แรงงานเห็นอนาคตค่าจ้างของตัวเอง และลดปัญหาการร้องเรียนขอปรับค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี



+++ด้านพล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำยืนยันทำตามขั้นตอน เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง แม้การปรับขึ้นค่าจ้างจะกระทบเอสเอ็มอีขนาดเล็ก แต่รัฐมีมาตรการรองรับ ซึ่งจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันพรุ่งนี้ (30 ม.ค.)ส่วนประเด็นเรื่องโครงสร้าง และการปรับขึ้นเท่ากันทั้งประเทศ ตามที่ฝ่ายลูกจ้างเสนอมานั้น จะนำมาพิจารณาเพื่อดูความเหมาะสมก่อนดำเนินการปรับแก้

+++จากการสอบปากคำ น.ส.รุธจิรา เอี่ยมละม้าย อายุ 38 ปี 1 ในผู้ต้องหาฆ่าเผานั่งยางนายจูเซปเป เดอ สเตฟานี ชาวอิตาลีวัย 61 ปี ชุดสืบสวนสภ.บึงนาราง จ.พิจิตร ได้นำตัว น.ส.รุธจิรา มาสอบสวนเพิ่มเติมที่ สภ.บึงนาราง จากคำให้การเบื้องต้นของ น.ส.รุจิรา ระบุว่า ในวันเกิดเหตุตัวเอง นายจูเซปเป และนายอาโมรี ริโก ชาวฝรั่งเศส อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาอีกคนที่ตำรวจจับกุมตัวได้ ทั้งหมดได้นั่งรถเก๋งโตโยต้า ยาริส สีบรอนซ์ ทะเบียน กค 1374 สมุทรสงคราม ขับไปยังบริเวณถนนคันคลอง ห่างจากจุดเผาศพ 10 กิโลเมตร เพื่อเคลียร์ปัญหา แต่ตกลงกันไม่ได้ จนเป็นเหตุให้นายอาโมรี เป็นผู้ลงมือฆ่า จากนั้นได้ช่วยยกศพนายจูเซปเป สามีเก่าขึ้นหลังรถเพื่อไปเผาทำลายหลักฐาน ซึ่ง นายจูเซปเป เคยจ้าง นายอาโมรี 1 แสนบาทให้ นายอาโมรี เลิกลากับ น.ส.รุธจิรา แต่ นายอาโมรี ไม่ยินยอม



+++ อย่างไรก็ตาม คำให้การของทั้ง 2 คน ขัดแย้งไม่สอดคล้องกัน ต่างโยนความผิดของการสังหาร โดยนายอาโมรี ให้การว่าไม่รู้ไม่เห็นการฆ่านายจูเซปเป ส่วน น.ส.รุธจิรา ให้การว่า นายอาโมรี เป็นผู้ลงมือสังหาร ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ก็บหลักฐาน ทั้งวัตถุพยานที่เกิดเหตุ และ พยานสิ่งแวดล้อมดำเนินคดีเอาผิดกับผู้ต้องหาทั้ง 2 คนได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและปิดบัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือ ทำลายศพ หรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการตาย หรือเหตุแห่งการตาย



+++เอเอฟพี รายงานอ้างนายดีพัก ดีโอรัจ โฆษกตำรวจเมืองมุมไบ รัฐมหาราษฏระ ทางภาคตะวันตกของอินเดียว่า นายราเจช มารู ชาวอินเดียวัย 32 ปีเสียชีวิตหลังถูกเครื่องเอ็มอาร์ไอดูดเข้าเครื่อง ขณะไปเยี่ยมญาติที่พักรักษาอาการป่วยในโรงพยาบาลแนร์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อคืนวันเสาร์ นายมารูถูกคลื่นแม่เหล็กแรงสูงดูดเข้าไปในเครื่องเอ็มอาร์ไอ หลังเข้าไปในห้องตรวจ



+++นายจิเทนดรา มารู ลุงของผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ในวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของโรงพยาบาลได้ร้องขอให้นายมารู ช่วยถือถังออกซิเจนเข้าไปในห้องพยาบาล โดยรับรองกับผู้เสียชีวิตว่า ปิดสวิตช์เครื่องเอ็มอาร์ไอเรียบร้อยแล้ว แต่ปรากฏว่าเครื่องยังเปิดสวิตช์อยู่และถูกเครื่องเอ็มอาร์ไอดูดเสียชีวิต ตำรวจได้จับกุมแพทย์คนหนึ่งและเจ้าหน้าที่ระดับสูงประจำห้องพยาบาลอีกคนหนึ่งเพื่อดำเนินคดีอาญาในข้อหากระทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้คนอื่นถึงแก่ความตาย ผลสอบสวนเบื้องต้นบ่งชี้ว่าชายดังกล่าวเสียชีวิตเนื่องจากสูดออกซิเจนเหลวที่รั่วไหลจากถังออกซิเจน คาดว่าถังออกซิเจนแตกและออกซิเจนเหลวรั่วไหล หลังกระแทกกับเครื่องตรวจเอ็มอาร์ไอขณะถูกดูดเข้าในเครื่อง



+++ด้านนายราเมช ภารมัล ผอ.โรงพยาบาล เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการสอบสวนโรงพยาบาลได้มอบหลักฐานจากกล้องซีซีทีวีให้กับตำรวจแล้ว รัฐบาลท้องถิ่น จ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตจำนวน 5 แสนรูปี (7,870 ดอลลาร์สหรัฐฯ) สำหรับเครื่องเอ็มอาร์ไอหรือเครื่องตรวจส่วนต่างๆของร่างกายโดยละเอียดโดยใช้สนามแม่เหล็กความเข้มสูง จะดูดโลหะต่างๆเข้าหาเครื่อง โดยปกติเจ้าหน้าที่จะห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่หรือใครก็ตามถือโลหะต่างๆเข้าไปยังห้องตรวจขณะเครื่องทำงาน



แฟ้มภาพ 



 



 



 



 

ข่าวทั้งหมด

X