ซีเอ็นเอ็นรายงานอ้างนายจอน คลิฟตัน หุ้นส่วนผู้จัดการทั่วโลกของสำนักวิจัยแกลลัพโพลล์ของสหรัฐฯว่าผลสำรวจความเห็นของประชาชน 1,000 คนจาก 134 ประเทศทั่วโลก อายุ 15 ปีขึ้นไป ใช้วิธีสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวและสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ระหว่างมีนาคมถึงพฤศจิกายนปีที่แล้ว บ่งชี้ว่า หนึ่งปีหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์เข้ามาทำหน้าที่ประธานธิบดีสหรัฐฯ ความเชื่อมั่นของคนทั่วโลกต่อภาวะผู้นำของสหรัฐฯตกต่ำเป็นสถิติใหม่ที่ร้อยละ 30 จากเดิม ร้อยละ 48 ในปีสุดท้ายของการบริหารประเทศของรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ในปี 2559 ที่สำคัญคือภาวะผู้นำโลกของสหรัฐฯ เป็นรองจากประเทศจีนซึ่งมีคะแนนเชื่อมั่นเรื่องภาวะผู้นำโลกอยู่ที่ร้อยละ 31 และนำรัสเซียอยู่เพียง 3 จุด
ที่สำคัญคือภาวะผู้นำโลกของสหรัฐฯในปัจจุบันยังต่ำกว่ายุคภาวะผู้นำโลกของสหรัฐฯตกต่ำเป็นประวัติการณ์คือร้อยละ 34 ในปีสุดท้ายของรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ขณะเดียวกันเยอรมนีได้รับการจัดอันดับให้เป็นชาติที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกในปัจจุบัน ด้วยคะแนนอันดับหนึ่งคือร้อยละ 41 นับตั้งแต่เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้ว นายทรัมป์ผลักดันนโยบายผลประโยชน์สหรัฐฯต้องมาก่อน พร้อมทั้งประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลงและการจับมือเป็นพันธมิตรทั่วโลก ทั้งในด้านการค้า โดยเฉพาะข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจแห่งเอเชีย-แปซิฟิกและขณะนี้สหรัฐฯอยู่ระหว่างการเจรจาเงื่อนไขใหม่เกี่ยวข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือหรือนาฟตากับเม็กซิโกและแคนาดาในขณะนี้
นอกจากนั้นสหรัฐฯถอนตัวออกจากอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกรุงปารีสและล่าสุดสร้างความผิดหวังให้กับพันธมิตรชาวยุโรปและรัสเซียด้วยการขู่ถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านหลังการลงนามระหว่างอิหร่านกับ 6 ชาติมหาอำนาจของโลกเมื่อปี 2558