กรณีนายชิเกตะ มิตซูโตกิ อายุ 24 ปี ว่าจ้างหญิงไทยตั้งครรภ์แทน หรือ อุ้มบุญ โดยมีเด็ก 15 คนที่มีดีเอ็นเอระบุว่า นายชิเกตะเป็นพ่อ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ประสานหญิงไทยผู้รับจ้างจำนวน 11 คนมาให้ปากคำเพิ่มเติม โดยในช่วงเช้าวันนี้ สตรีผู้รับจ้างฯ คนที่ 4 คือนางสาวเอ (นามสมมุติ) ซึ่งมีอายุ 32 ปี เดินทางเข้าให้ปากคำที่ สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี โดยยืนยันว่าไม่เคยรู้จักนายมิซูโตกิ ชิเกตะ ชายชาวญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าของน้ำเชื้อ แต่รับงานนี้ผ่านนายหน้าที่ชื่อ น้อยหน่า โดยการติดต่อผ่านเว็บไซต์ และเคยเพบ นายชิเกตะ 2 ครั้ง คือ หลังการคลอดเด็ก และตอนขึ้นศาลที่ขอนำเด็กเดินทางออกนอกประเทศ ทั้งไม่ทราบว่ามีการว่าจ้างให้มีการตั้งครรภ์อีกหลายคน ซึ่ง นางสาว เอ บอกว่า หลังจากที่ตกลงเบื้องต้นกับนายหน้าที่ชื่อน้อยหน่า ว่า จะได้รับค่าจ้าง เป็นเงินจำนวน 300,000 บาท และได้รับค่าเลี้ยงดู 12,000 บาทต่อเดือน ก็นัดไปตรวจร่างกายที่สถานพยาบาลออลไอวีเอฟ เวชกรรม เฉพาะทางสูตินรีเวชย่านเพลินจิต โดยมี นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล เจ้าของสถานพยาบาลฯ เป็นคนตรวจร่างกาย และฝังตัวอ่อนให้ ต่อมาในช่วงเดือน มิถุนายน 2556 ก็ไปคลอดที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท โดย นพ.พิสิฐ เป็นผู้ที่ผ่าตัดทำคลอดให้เช่นกัน แล้วพาทารกไปที่คอนโดมิเนียมย่านลาดพร้าว เพื่อมอบให้กับผู้ว่าจ้าง แล้วรับเงินค่าจ้าง หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
ซึ่งในช่วงบ่ายอาจมีสตรีมาให้ปากคำอีก 3-4 คน
ขณะที่ พ.ต.อ.เดชา พรมสุวรรณ์ พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ หัวหน้างานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี ระบุว่า สตรีทั้ง 4 คนที่เข้าให้ปากคำ ยืนยันตรงกันว่าทำการฉีดน้ำเชื้อที่ คลินิก ออลไอวีเอฟ โดยมี นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล เป็นแพทย์ผู้รับผิดชอบ เบื้องต้น นพ.พิสิฐ ติดต่อขอผ่อนผันการรายงานตัวและยื่นหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นวันที่ 6 กันยายนนี้ เนื่องจากขอเวลารวบรวมหลักฐานให้รัดกุม หลังเจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกมาแล้ว 3 ครั้ง โดยหากวันที่ 6 กันยายน ไม่มารายงานตัวเจ้าหน้าที่จะออกหมายจับต่อไป
ส่วนการติดต่อนายมิซูโตกิ ขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อได้
...ผสข.ธีรวัฒน์ สิทธิเกรียงไกร