มท.1สรุปอุบัติเหตุปีใหม่7วันอันตราย/หุ้นไทย พุ่งทำสถิติใหม่/ค่าเงินแข็งค่า/ทองปิดบวก9วัน

04 มกราคม 2561, 07:59น.


+++สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 6 วัน ระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.2560-2 ม.ค.2561 เกิดอุบัติเหตุรวม 3,456 ครั้ง เมื่อเทียบกับปี 2560 ในช่วงเวลาเดียวกันลดลง 123 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 375 ราย ผู้บาดเจ็บ รวม 3,612 คน จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตาย เป็นศูนย์) มี 8 จังหวัด ได้แก่ ยะลา ระนอง หนองบัวลำภู นครนายก ตรัง ชัยนาท นราธิวาส และ น่าน ส่วนจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูง สุด ได้แก่ อุดรธานี (120 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ นครราชสีมา (15 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ อุดรธานี (124 คน) เดินหน้าตามหลักปฏิบัติ 4 ห้าม 2 ต้อง ได้แก่ ห้ามเร็ว ห้ามเมา ห้ามโทร ห้ามง่วง...ต้องสวมหมวกนิรภัย และต้องคาดเข็มขัดนิรภัย วันนี้ พล.อ.อนุพงษ์ รมว.มหาดไทย แถลงข่าวสรุปอุบัติเหตุปีใหม่ 7 วันอันตราย ประชุมคณะอนุกรรมการศูนย์ป้องกันอุบัติเหตุท้องถนน 2561



+++พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 3 กล่าวถึง การดำเนินคดีของผู้กระทำผิดจากการตั้งจุดตรวจ จำนวน 2,003 จุด ถูกดำเนินคดีรวม 140,714 ราย ซึ่งมีทั้งการไม่สวมหมวกนิรภัยและขับรถโดยไม่มีใบขับขี่ สำหรับยอดรวมตลอด 6 วัน พบว่ามีการดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดทางจราจรและเมาแล้วขับ ถึง 746,412 ราย โดยในปี 2560 พบว่ามีกรณีการดำเนินคดี ที่เกี่ยวกับการจราจรในช่วงเทศกาลปีใหม่ จำนวน 3,822,622 คัน โดยปี 2561 รวม 6 วันของเทศกาลปีใหม่ พบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปี 2560 จำนวน 538,151 คัน



+++นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงต้องปรับปรุงมาตรการอีกหลายอย่าง เพื่อเตรียมรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีสงกรานต์ เดือนเม.ย. โดยจะเป็นมาตรการเข้มข้นยกกำลังสาม เพราะเทศกาลสงกรานต์จะมีปริมาณการเดินทางสูงกว่าช่วงปีใหม่ สำหรับมาตรการที่จะเพิ่มขึ้นมา เช่น ถนนทางตรงที่มีโอกาสขับรถเร็วและหลับใน ก็จะติดป้ายเตือนเพิ่มขึ้นและต้องเปลี่ยนป้ายบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้คนขับเคยชิน พร้อมใช้สัญลักษณ์แทนตัวหนังสือมากขึ้นเพื่อให้ประชาชนเข้าใจง่าย นอกจากนี้ต้องตรวจสภาพรถโดยสารสาธารณะที่เข้ามาเสริม โดยเฉพาะคนขับและสภาพตัวรถ ด้านการรณรงค์เปิดไฟหน้ามีผู้ร่วมมือประมาณร้อยละ15-20 ซึ่งจะต้องรอประเมินผลการรณรงค์อีกครั้ง



+++คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการบ้านคนไทยประชารัฐเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ซึ่งใช้พื้นที่ราชพัสดุ 4 ภาคในพื้นที่ 49.9 ตารางวา รวมจำนวน 2,757 ยูนิต ประกอบด้วย บ้านแฝด, บ้านแถว และอาคารชุดพักอาศัย ในพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 28 ตารางเมตร ราคา 350,000-700,000 บาทต่อหน่วย โดยใช้กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น 4,000 ล้านบาท ผู้มีสิทธิ์เข้าโครงการแบ่งเป็น 3 กลุ่ม อันดับแรกจะให้สิทธิ์ประชาชนที่อยู่ในทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐกับกระทรวงการคลังก่อนและหากกลุ่มดังกล่าวใช้สิทธิหมดแล้ว จะเปิดให้กับกลุ่มที่ 2 คือ ประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มสุดท้าย คือ ประชาชนทั่วไป โดยธนาคารจะไม่สนับสนุนดอกเบี้ย ส่วนสินเชื่อในการดำเนินการ ธนาคารออมสินและธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จะปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์



+++ตามกันต่อ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวานนี้ ทำสถิติใหม่ปิดที่ 1,778.53 จุด เป็นระดับสูงสุดในประวัติการณ์นับตั้งแต่เปิดซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2518 หรือสูงสุดในรอบ 43 ปี โดยปรับขึ้น 24.82 จุด หรือร้อยละ 1.42 จากสิ้นปี 2560



+++นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แนะนำให้ผู้ลงทุนพิจารณาลงทุนในบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีและมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต พร้อมศึกษาข้อมูลของบริษัท และติดตามข่าวทั้งในและต่างประเทศที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน



+++การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปัจจัยทางพลังงาน ข้อมูลการผลิตที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯและการดีดตัวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ช่วยดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวันพุธ ทุบสถิติสูงสุดตลอดกาลอีกครั้ง ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 98.67 จุดปิดที่ 24,922.68 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 17.25 จุด ปิดที่ 2,713.06 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 58.63 จุด ปิดที่ 7,065.53 จุด ภาคการผลิตของสหรัฐฯยังคงขยายตัวในอัตราที่แข็งแกร่งในเดือนธันวาคม โดยผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของอเมริกา (ISM) พบว่า ดัชนีภาคการผลิตของ ISM ดีดตัวสู่ระดับ 59.7 ในเดือนธันวาคม จากระดับ 58.2 ในเดือนพฤศจิกายน สูงสุดเป็นลำดับ 2 ในรอบ 7 ปี

+++นอกจากนี้แล้วตลาดหุ้นสหรัฐฯยังได้แรงหนุนจากหุ้นที่เกี่ยวข้องกับภาคปิโตรเลียม หลังราคาน้ำมันพุ่งขึ้นด้วย ขณะเดียวกันหุ้นเทคโนโลยีก็เป็นอีกกลุ่มที่ขยับขึ้น โดยอเมซอน, เฟซบุ๊กและอัลฟาเบ็ท บริษัทแม่ของกูเกิล ต่างปิดบวกมากกว่าร้อยละ 1



+++สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด เดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น 1.26 ดอลลาร์ ปิดที่ 61.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้น 1.27 ดอลลาร์ ปิดที่ 67.84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 

น้ำมันทั้งสองสัญญาแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2014 จากปัจจัยความกังวลต่อสถานการณ์ทางกาารเมืองในอิหร่าน ชาติผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโอเปก

+++ราคาทองคำ ปิดบวก 9 วันติด แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนกันยายน จากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของโลหะมีค่าชนิดนี้ โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 2.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,318.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์



+++ค่าเงินทั่วภูมิภาคเอเชีย ปรับตัวแข็งค่า ขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า วันที่ 3 ม.ค. ค่าเงินบาท เปิดตลาดอยู่ที่ 32.43 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 32.59 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2558 หรือ 33 เดือนหลังมีแรงเทขายดอลลาร์ออกมามากในตลาดโลก ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินหลัก ส่วนทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์แรกของปีนี้ คาดแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแข็งค่าเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย



แฟ้มภาพ 

ข่าวทั้งหมด

X