คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC มีมติเป็นเอกฉันท์ออกมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่อเกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 3 ในรอบปีนี้ โดยสั่งห้ามการจัดส่งผลิตภัณฑ์น้ำมันที่กลั่นแล้วเกือบร้อยละ 75 ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อโครงการพัฒนาขีปนาวุธและนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ส่งชาวเกาหลีเหนือทั้งหมดที่ทำงานอยู่ในต่างประเทศเดินทางกลับเกาหลีเหนือภายในปี 2562 ยึด ตรวจสอบ และกักเรือต้องสงสัย ซึ่งบรรทุกสินค้าผิดกฎหมายเข้าออกเกาหลีเหนือ สั่งห้ามการขายเครื่องจักรอุตสาหกรรมทั้งหมด รถบรรทุก เหล็ก เหล็กกล้า และโลหะอื่นๆ ตลอดจนถึงการส่งออกอาหาร เครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า ก้อนหิน หน้าดิน ไม้ และการผลิตเรือให้แก่เกาหลีเหนือ นอกจากนี้ ยังขึ้นบัญชีดำเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนืออีก 15 คน ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานด้านการธนาคาร และกระทรวงที่ดูแลการส่งกองกำลังบำรุงให้แก่กองทัพบกของเกาหลีเหนือ โดยสั่งอายัดทรัพย์สินและสั่งห้ามการลงประทับตราหนังสือเดินทางให้แก่กลุ่มบุคคลดังกล่าว
ทั้งนี้ ข้อมติ ซึ่งร่างโดยสหรัฐฯ เป็นการตอบโต้ต่อการทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีปของเกาหลีเหนือเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ซึ่งเกาหลีเหนืออ้างว่ามีพิสัยยิงไกลถึงแผ่นดินใหญ่สหรัฐฯ และมีขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ และเกาหลีเหนือไม่มีสัญญาณจะเปิดการเจรจาเพื่อคลี่คลายวิกฤตการณ์บนคาบสมุทรเกาหลี
ส่วนท่าทีของนานาประเทศต่อข้อมติดังกล่าวต่างสนับสนุนความเคลื่อนไหวในร่างข้อมตินี้ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทวีตข้อความ ระบุว่า ประชาคมโลกต้องการสันติภาพ มิใช่ความตาย ส่วนนางนิกกี้ เฮลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ กล่าวว่า มาตรการคว่ำบาตรสะท้อนความไม่พอใจของนานาประเทศอย่างรุนแรงต่อการกระทำของเกาหลีเหนือ พร้อมกับบรรยายว่า เกาหลีเหนือเป็นตัวอย่างความชั่วร้ายที่น่าสลดใจมากที่สุดของโลกสมัยใหม่
ขณะที่ นายฟร็องซัวส์ เดอลาทร์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสหประชาชาติ ได้กล่าวเปรียบมาตรการคว่ำบาตรใหม่ว่า ความหนักแน่นในวันนี้เป็นยาถอนพิษความเสี่ยงสงครามในวันหน้า
นอกจากนี้ สหภาพยุโรป หรือ EU กำลังวางแผนออกมาตรการคว่ำบาตรใหม่ที่เข้มงวดมากขึ้นกับเกาหลีเหนือในต้นปีหน้า
ส่วนจีนและรัสเซียได้ประณามพฤติกรรมของเกาหลีเหนือ แต่ก็ต้องการให้เปิดช่องทางทางการทูตอย่างเร่งด่วน เพราะการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรหรือกดดันเกาหลีเหนือแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่สามารถช่วยคลี่คลายปัญหาได้
ทีมต่างประเทศ
CR:AFP