คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC กำลังพิจารณาร่างข้อมติยืนยันว่า การตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ในการรับรองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล จะไม่มีผลทางกฎหมาย พร้อมทั้งขอให้ถอนการตัดสินใจ เพื่อให้เป็นไปตามมติที่เกี่ยวข้องของ UNSC แต่มิได้ระบุชื่อสหรัฐฯ หรือประธานาธิบดีทรัมป์โดยเฉพาะ นอกจากนี้ ร่างข้อมติยังเรียกร้องให้ทุกประเทศงดเว้นการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในนครเยรูซาเล็ม และอย่าได้ยอมรับการกระทำหรือมาตรการใดๆ ที่ขัดต่อข้อมติของ UNSC เกี่ยวกับนครเยรูซาเล็ม อย่างไรก็ตาม นักการทูตในสหประชาชาติเปิดเผยว่า แม้ญัตติซึ่งมีเพียง 1 หน้าและร่างโดยอียิปต์ ตามมติของ รมว.ต่างประเทศจากกลุ่มประเทศอาหรับ จะได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง แต่มีแนวโน้มว่า สหรัฐฯ จะใช้สิทธิยับยั้ง หรือ วีโต ในการลงมติต้นสัปดาห์หน้า ซึ่งจะต้องได้รับเสียงสนับสนุน 9 เสียง จากทั้งหมด 15 เสียง และไม่มีประเทศสมาชิกถาวรของ UNSC ใช้สิทธิวีโต อย่างไรก็ดี การผลักดันการรับรองร่างข้อมติจะส่งผลให้ประธานาธิบดีทรัมป์ถูกโดดเดี่ยวกรณีนครเยรูซาเล็มมากขึ้น แต่นายแดนนี่ ดานอน เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ ตอบโต้ว่า จะไม่มีการลงมติหรือการหารือใดๆ เปลี่ยนแปลงความจริงที่ชัดเจนได้ว่า เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล
ด้านพรรคฟาตาห์ของนายมาห์มุด อับบาส ประธานปาเลสไตน์ เรียกร้องให้ประชาชนชาวปาเลสไตน์ออกมาเดินขบวนครั้งใหญ่ประท้วงรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดจะเดินทางเยือนเยรูซาเล็มในสัปดาห์หน้า ทั้งยังได้โน้มน้าวให้นายอับบาสยกเลิกการประชุมกับรองประธานาธิบดีเพนซ์ เพื่อเตือนว่า สหรัฐฯ จะไม่มีบทบาทในกระบวนการเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ได้อีกต่อไป เช่นเดียวกับที่ผู้นำศาสนาคริสต์และมุสลิมของอียิปต์ที่ได้ยกเลิกการประชุมร่วมกับสหรัฐฯ แล้ว ขณะที่โฆษกประธานปาเลสไตน์ระบุว่า ท่าทีของสหรัฐฯ พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่า สหรัฐฯ อยู่นอกกระบวนการเจรจาสันติภาพตะวันออกกลางโดยสมบูรณ์แล้ว
….
(0950 F171)