สถานการณ์รุนแรงในเมืองเฟอร์กูสัน รัฐมิสซูรี ของสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อมานับสิบวัน หลังไมเคิล บราวน์ วัยรุ่นผิวสีวัย 18 ถูกตำรวจยิงเสียชีวิต ทั้งที่ไม่มีอาวุธว่า กลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านตำรวจได้หวนกลับออกมารวมตัวก่อเหตุจลาจลรุนแรง และเกิดการเผชิญหน้าอย่างดุเดือด กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้ง เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 18 ส.ค. (ตามเวลาท้องถิ่น) แม้ในช่วงเย็น สถานการณ์ยังคงเงียบสงบอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามไล่ฝูงชนไม่ให้รวมตัวกัน ผู้ประท้วงมีทั้งโยนระเบิดขวด ขว้างปาก้อนหิน และขวดน้ำใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล ที่ตั้งแถวยืนตรึงกำลังอยู่นานเกือบ 2 ชม. ขณะที่ กำลังตำรวจปราบจลาจล ซึ่งสวมหน้ากากป้องกันแก๊สน้ำตา ได้ใช้อุปกรณ์ LRADซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับปล่อยเสียงความถี่สูง และจะทำให้เกิดอาการปวดแก้วหู เพื่อสลายฝูงชน ก่อนจะมีการยิงแก๊สน้ำตา และขว้างระเบิดมือ สกัดขัดขวางการก่อเหตุรุนแรงในที่สุด
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้เรียกร้องให้ชาวเมืองเฟอร์กูสัน กลับคืนสู่ความสงบ โดยควรค้นหาความเข้าใจและช่วยกันเยียวยาความแตกแยกในสังคม ที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติและสีผิว รวมถึง ความไม่ไว้วางใจที่ยังคงมีอยู่ระหว่างประชาชนในท้องถิ่น กับเจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย
ขณะเดียวกันนายเอริค โฮลเดอร์ รมว.ยุติธรรม จะเดินทางลงพื้นที่เมืองเฟอร์กูสัน เป็นการส่วนตัว ในวันพุธที่ 20 ส.ค. เพื่อพบกับเจ้าหน้าที่หน่วยสืบสวนสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) และอัยการของเมืองเฟอร์กูสัน ที่ดำเนินการสอบสวนการเสียชีวิตของไมเคิล บราวน์ วัยรุ่นอเมริกันผิวสี
เมื่อวันจันทร์ นายเจย์ นิกสัน ผู้ว่าการรัฐมิสซูรี ได้ประกาศยกเลิกมาตรการเคอร์ฟิวในเมืองเฟอร์กูสัน ที่ห้ามประชาชนออกนอกบ้านในยามวิกาลตั้งแต่เวลา 00.00-05.00 น. ขณะที่ได้ออกคำสั่งพิเศษ ระดมกองกำลังรักษาดินแดนแห่งชาติของรัฐมิสซูรี มาช่วยควบคุมสถานการณ์ในเมืองเฟอร์กูสันให้กลับคืนสู่ความสงบแล้ว