การจัดสรรเงินออมให้มีการลงทุนที่ถูกต้องหรือเรื่องการออมเงินที่ถูกวิธี ธนาคารไทยพาณิชย์ และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้จัดอบรมให้ความรู้ด้านการเงินและการลงทุน นายชลธี พรโรจนางกูร ผู้จัดการโครงการ สายเงินฝากและการลงทุน กลุ่มลูกค้าบุคคลธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ประชาชนทั่วไปที่ออมเงิน ควรมีการวางเป้าหมาย ตามหลักที่เรียกว่า Smart คือ มีความชัดเจน วัดผลได้ มีระยะเวลา ทำสำเร็จได้จริงและบรรลุผลได้ ซึ่งเป้าหมายของการออมเงินแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ ระยะสั้น ใน1 ปี ระยะกลาง 1-5ปี และระยะยาว 5 ปีขึ้นไป ซึ่งแต่ละระยะจะมีความแตกต่างในการลงทุน และมีเป้าหมายที่ต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับสภาพความพร้อมของแต่ละบุคคล ส่วนสิ่งสำคัญของการเงิน คือ วินัยการออมและการต่อยอดลงทุน โดยควรออมเงินในแต่ละเดือนอย่างน้อยร้อยละ 10 ของเงินเดือน และควรปลอดหนี้หรือมีหนี้ชำระในแต่ละเดือนไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินเดือน รวมทั้งไม่ควรกู้เงินเกินร้อยละ 20 ของรายได้ตลอดปี ทั้งนี้การวางแผนทางการเงินให้ครอบคลุมในทุกด้าน จะช่วยป้องกันเหตุฉุกเฉิน และหากมีเงินออมมากพอ ควรนำไปต่อยอดลงทุนต่างๆ เช่น การซื้อพันธบัตรรัฐบาล การซื้อกองทุน หรือการเล่นหุ้นที่มีโบรกเกอร์ให้คำปรึกษาที่ไว้ใจได้ ทั้งนี้การลงทุนขึ้นอยู่กับสภาพคล่องทางการเงินของแต่ละคน ซึ่งการลงทุนอาจจะมีความเสี่ยง ดังนั้นผู้ที่จะลงทุนต้องศึกษาข้อมูลว่าขณะนั้นหุ้นหรือกองทุนที่จะเล่นมีแนวโน้มอย่างไร และไม่นำเงินทั้งหมดไปลงทุน ซึ่งจะเสี่ยงต่อการล้มละลายได้
นายชลธี แนะนำว่าก่อนจะเล่นหุ้นหรือซื้อกองทุน ควรศึกษาผลประกอบการย้อนหลัง และสภาพทางเศรษฐกิจ โดยการลงทุนที่มีความเสี่ยงมาก จะให้ผลตอบแทนที่มาก เช่นเดียวกับผลตอบแทนต่ำ จากการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เปรียบเทียบเช่น การฝากเงินกับธนาคารกับการเล่นหุ้น ซึ่งตามผลชี้วัดจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า การเล่นหุ้นในตลาดรวมเพียง 3 ปีจะทำกำไรเท่ากับการฝากเงินออมทรัพย์ในธนาคารถึง 20 ปี และเพื่อความมั่นใจควรทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และตัดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อสร้างเงินออมให้มากขึ้น รวมทั้งไม่ควรใช้บัตรเครดิตเกินจำเป็น ซึ่งจะสร้างปัญหาหนี้สินภายหลัง ส่วนในอนาคต นายชลธี บอกว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นสิ่งที่น่าลงทุน และการซื้อบ้านไว้นับว่าเป็นการลงทุนที่ดี เพราะคาดการณ์ว่า พื้นที่ในแต่ละที่จะมีราคาสูงมากขึ้น ขณะที่ปัจจัยที่มีผลในตลาดหุ้น หรือกองทุนมีด้วยกันหลายปัจจัย เช่น ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ความน่าเชื่อถือของตลาด สภาพทางการเมือง และนโยบายของประเทศในช่วงนั้น ซึ่งหากประชาชนสนใจการลงทุนต่างๆสามารถขอคำปรึกษา และหนังสือชี้ชวนได้ที่โบรกเกอร์และธนาคารทุกสาขา โดยการลงทุนที่ดีและมีรากฐานจะนำไปสู่ความมั่นคงที่ยั่งยืนในอนาคต
ธีรวัฒน์