นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดีรักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงพระราชบัญญัติ (พรบ.)ทรัพยากรน้ำว่า ขณะนี้ ยังไม่มีผลบังคับใช้ใดๆทั้งสิ้น ยังอยู่ในขั้นตอนของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พิจารณาเห็นชอบในหลักการเข้าสู่การพิจารณาวาระที่ 1 และแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพรบ.เท่านั้น ซึ่งมีทั้งหมด 100 มาตรา เพิ่งพิจารณาได้ 95 มาตรา และมีหลายมาตราที่ยังมีข้อทักท้วง โดยเฉพาะในมาตราที่เกี่ยวกับการเก็บค่าน้ำ คือ มาตรฐานที่ 39 และ มาตราที่ 47 ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาอีกครั้ง และปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมซึ่งต้องใช้ระยะเวลา และที่สำคัญจะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องตามกระบวนของกฎหมาย หลังจากนั้น ถึงจะนำเสนอต่อที่ประชุมสนช.พิจารณาในวาระที่ 2 วาระที่ 3 ตามลำดับ ก่อนเสนอให้นายกรัฐมนตรี นำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อลงนามพระปรมาภิไธย
สำหรับพรบ.น้ำดังกล่าว จะบังคับใช้เฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทานเท่านั้น ในพื้นที่ชลประทานยังใช้ พรบ.ชลประทานหลวงบังคับใช้ ซึ่งจะไม่มีการเรียกเก็บค่าน้ำในภาคการเกษตรไม่ว่ากรณีใดๆ แม้ว่าตามพรบ.ชลประทานหลวงจะกำหนดให้เก็บค่าชลประทาน ซึ่งไม่เรียกว่าค่าน้ำ จากภาคการเกษตรได้ในอัตราไม่เกิน 5 บาทต่อไร่ก็ตาม แต่ไม่เคยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คนไหนออกประกาศกระทรวงฯให้จัดเก็บค่าน้ำ จะจัดเก็บเฉพาะน้ำที่จัดสรรให้กับภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ และน้ำเพื่อการประปาเท่านั้น ในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 50 สตางค์ ดังนั้นเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ชลประทานจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จาก พรบ.น้ำ ดังกล่าวอย่างแน่นอน
ส่วนเกษตรกรรายย่อยที่อยู่นอกเขตชลประทาน ที่พรบ.ทรัพยากรน้ำฉบับดังกล่าวจะเข้าไปดูแลนั้น ก็จะไม่ต้องจ่ายค่าน้ำเช่นกัน เนื่องจากจะมีการกำหนดประเภทการใช้น้ำโดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ ประเภทที่ 1 เพื่อการดำรงชีพ การอุปโภคบริโภค ในครัวเรือน เกษตรหรือเลี้ยงสัตว์เพื่อยังชีพ ประเภทที่ 2 เพื่อการเกษตรหรือเลี้ยงสัตว์เพื่อการพาณิชย์ อุตสาหกรรม ท่องเที่ยว ผลิตพลังงานไฟฟ้า ประปา และกิจการอื่นๆ และประเภทที่ 3 ใช้น้ำเพื่อกิจการขนาดใหญ่ ใช้น้ำมาก ซึ่งตามร่างพรบ.น้ำ จะจัดเก็บค่าน้ำเฉพาะประเภทที่ 2 และ 3 แต่ยังไม่มีการกำหนดว่าจะจัดเก็บเท่าไร สำหรับเกษตรกรที่อยู่นอกเขตชลประทานแทบทั้งหมดในปัจจุบันจะอยู่ในประเภทที่ 1 จึงไม่ต้องจ่ายค่าน้ำ
เกษตรกรทั้งที่อยู่ในเขตและนอกเขตชลประทาน สบายใจได้ว่า จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆจาก พรบ.ทรัพยากรน้ำ เพราะจะไม่มีการจัดเก็บค่าน้ำจากเกษตรกรรายย่อยเลย แม้จะมีการรวมกันทำการเกษตรแปลงใหญ่ตามนโยบายของรัฐบาลก็ตาม แต่ก็ยังเป็นเกษตรกรรายย่อยๆ มารวมกันหลายๆ คนเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นจะต้องจ่ายค่าน้ำ ในทางตรงข้าม พรบ.ดังกล่าวจะสร้างความเป็นธรรมในการใช้น้ำให้กับทุกภาคส่วน ภาคการเกษตรมีน้ำใช้อย่างพอเพียง ทำให้ประชาชนรู้คุณค่าน้ำมากขึ้น และใช้น้ำที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยกันรักษาคุณภาพน้ำ รักษาสิ่งแวดล้อม และเกิดความยั่งยืนในการใช้น้ำ
CR:FB เรารักกรมชลประทาน