หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม นายสตานิส ซิวสกี แกรตแซน พาเวล อายุ 38 ปี ชาวโปแลนด์ ผู้ต้องหาที่วางระเบิดตู้เอทีเอ็ม หน้าห้างเทสโก้โลตัส เอ็กซ์เพรส กรุงเทพกรีฑา35 ได้ที่บ้านพักย่านซอยรามคำแหง 50 ล่าสุดเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจนครบาลประเวศนำหลักฐานที่ใช้ตรวจหาความเชื่อมโยงที่ผู้ต้องหาใช้ก่อเหตุมาส่งมอบให้พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยตินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ส่วนผู้ต้องหายังถูกควบคุมตัวไว้ที่ สถานีตำรวจนครบาลประเวศ เพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหา
พลตำรวจเอกจักรทิพย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ พนักงานสอบสวนมีพยานหลักฐานที่ชี้ชัดว่าผู้ต้องหามีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดแน่นอน ยอมรับว่าเหตุการณ์ในลักษณะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน โดยผู้ต้องหาซื้อวัสดุอุปกรณ์จากประเทศมาเลเซีย เพื่อเตรียมนำมาก่อเหตุอีกไม่ต่ำกว่า 3 คดีในประเทศไทย จากการตรวจสอบพบผู้ต้องหามีการเดินทางเข้าออกประเทศไทย 3-4 ครั้ง และมีภรรยาเป็นชาวกัมพูชา จึงเชื่อว่ามีชำนาญในเส้นทางการเดินทางเข้าออกประเทศซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ได้รับความสนใจจากประชาชน เนื่องจากเป็นการก่อเหตุกับตู้เอทีเอ็มที่มีประชาชนใช้บริการ
อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ประสานตำรวจสากลเพื่อขอข้อมูลว่าผู้ต้องหาเคยก่อเหตุในต่างประเทศหรือไม่ พร้อมสั่งการให้ พลตำรวจเอกเฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ วางมาตรการป้องกันพฤติกรรมเลียนแบบ เพื่อก่อเหตุซ้ำในลักษณะเดียวกัน
ด้านพลตำรวจโทศานิตย์ มหาถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ต้องหามีปัญหาด้านภาษาในการสื่อสาร แต่ยอมรับสารภาพที่ได้ลงมือก่อเหตุในบางส่วนแล้ว ยืนยันได้ว่าผู้ต้องหาคนดังกล่าวเป็นผู้ก่อเหตุแน่นอน และจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าผู้ต้องหาเตรียมก่อเหตุซ้ำเพราะดูจากการเตรียมอุปกรณ์ ซึ่งหลังจากที่ก่อเหตุครั้งแรกไปแล้ว ผู้ต้องหาได้เดินทางกลับไปหาภรรยาที่กัมพูชา ก่อนจะเดินทางกลับมาในประเทศไทยและถูกจับกุมได้ในที่สุด ส่วนจะมีผู้ร่วมขบวนการรายอื่นอีกหรือไม่ ขณะนี้เจ้าหน้าที่มีหลักฐานเชื่อมโยงกับผู้ต้องหาเพียงคนเดียว หลังจากนี้เตรียมขยายผลถึงภรรยาชาวกัมพูชาของผู้ต้องหาด้วย ที่อาจจะมีส่วนในการให้ข้อมูลช่องทางเข้าออกประเทศไทย รวมทั้งการใช้เงินที่ได้จากตู้เอทีเอ็ม
ผู้สื่อข่าว:ธนดา เฉลิมวันเพ็ญ